ทริป 3 วัน 2 คืน ในฮอกไกโดแบบสบายๆ ไม่ต้องรอหิมะก็สนุกได้นะเออ!

บทความนี้เป็น Advertorial Content เนื้อหา ข้อมูล และรูปภาพทั้งหมดมาจากผู้สนับสนุน เว็บไซต์นี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือรับผิดชอบใดๆ

พูดถึงฮอกไกโด ภาพแรกที่ทุกคนนึกถึงต้องเป็นสีขาวโพลนของหิมะหนานุ่ม งานเทศกาลหิมะ สกี และกิจกรรมในหน้าหนาวอีกหลายอย่างเลยละ จริงมั้ย? แต่คราวนี้เราอยากพาไปเที่ยวเมืองนี้ในช่วงที่ยังไม่มีหิมะกันดูบ้าง เพื่อเป็นการเอาอกเอาใจหลายคนที่อาจจะไม่ชอบอากาศหนาวสุดขั้วของที่นี่เท่าไหร่นัก นอกจากนั้น ทริปที่เอามาฝากกันนี้ยังไม่ต้องรอให้ถึงวันหยุดยาวๆ เพราะใช้เวลาแค่ 3 วัน 2 คืนเท่านั้นเอง บอกเลยว่าใครๆ ก็ไปได้ และออกตัวเลยว่าเป็นทริปชิลล์ๆ สบายๆ ที่ไม่ต้องเหนื่อยกับการนั่งรถไปมามากนัก แล้วยิ่งถ้าสอยตั๋วเครื่องบินราคาดีๆ จาก Traveloka ได้ด้วยนะ จะยิ่งชิลล์ เพราะราคาถือว่าดี แล้วยังสบายใจว่าได้ตั๋วเครื่องบินที่ใช้ได้แบบชัวร์ๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะเจอตั๋วผี แถมเค้ายังมี call center พร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงทุกวันไม่มีหยุดด้วยนะ จองง่ายๆ ได้ในคลิกเดียว แถมมีตั๋วโปรดีๆ ให้ได้แฮปปี้กันอยู่เรื่อยๆ อีกด้วย ได้ของแท้ในราคาประหยัด ก็จัดไปเลยดิค้าบ ไม่ต้องคิดนาน!
จองตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่น กับ Traveloka ได้ที่นี่เลย https://www.traveloka.com/th-th/flight-to-japan

ไปดูกันเลยดีกว่าว่าทริปฮอกไกโด 3 วัน 2 คืน ที่เราเอามาฝากกันน่ะ จะโดนใจคุณแค่ไหน

 

วันที่ 1

เก็บข้าวของให้เรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มต้นออกตะลุยซัปโปโรด้วยการมุ่งหน้าไปที่ Hitsujigaoka Observation Hill ซึ่งเป็นจุดชมวิวยอดฮิตของเมืองซัปโปโรกันก่อนเป็นที่แรก เพราะกะว่าจะเดินเล่นกันชิลล์ๆ และแวะหาอะไรกินรองท้องไปด้วยเลยที่เดียวจบ ไฮไลท์ของจุดชมวิวแห่งนี้ นอกจากจะเป็นทิวทัศน์สวยๆ ที่เราจะได้เสพกันแบบเต็มๆ ตาแล้ว ยังมีอีกหลายแห่งที่น่าสนใจด้วยนะ ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นของ Prof. William S. Clark ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยฮอกไกโด ที่ใต้ฐานของรูปปั้นนี้จะมีพื้นที่ที่เราสามารถเขียนคำปฏิญาณหรือสิ่งที่ตั้งใจทำใส่แบบฟอร์มที่เค้ามีให้ แล้วฝากเก็บไว้ใต้ฐานของรูปปั้นนี้นี่ละ เหมือนเป็นคำสัญญากับตัวเองอะไรประมาณนั้น โดยเค้าจะมีค่าแบบฟอร์มและค่าเก็บรักษาเอกสารนี้ให้เรา 100 เยนเท่านั้นเอง ตั้งใจทำอะไร ลองให้สัญญากับที่นี่ไว้แล้วค่อยกลับมาดูใหม่ในอีก 10 ปีข้างหน้า สนุกแถมถูกด้วยนะ ดี๊ดี!!

รูปจาก https://wedelf.com/directory/sapporo-blanc-birch-chapel/

รูปจาก https://hokkaidoguide.com/hitsujigaoka-observation-hill/126a3174/#main

รอบๆ ที่นี่ยังมีสถานที่น่ารักๆ ที่เหมาะกับการไปถ่ายรูปกันชิลล์ๆ อีกหลายแห่งเลยด้วยนะ ทั้งโบสถ์สวยๆ แสนคลาสสิกอย่าง Sapporo Blanc Birch Chapel และ Clark Chapel โบสถ์ไม้เล็กๆ สุดน่ารักน่าเอ็นดู หรือพิพิธภัณฑ์เทศกาลหิมะที่รวบรวมเอาเรื่องราวของงานเทศกาลอายุกว่า 60 ปีเอาไว้ในอาคารทรงยุโรปสุดเก๋ แต่ถ้าอยากมองหาอะไรรองท้องก็ต้องพุ่งตรงไปที่ Rest House เพราะด้านในเค้ามีร้านเนื้อย่างเจงกิสข่านซึ่งเป็นเมนูขึ้นชื่อที่ต้องกินเมื่อมาฮอกไกโด รวมถึงยังมีขนมและซอฟท์ครีมอีกเพียบให้เลือกชิม ใครชอบความชิลล์แนะนำเลย เพลินมาก อร่อยด้วย สบ๊ายสบายยย

จากการเดินเล่นชิลล์ๆ ในจุดชมวิวสวยๆ เรากลับเข้ามาในตัวเมืองเพื่อตะลุย Nijo Market ตลาดเก่าแก่ที่มีอายุกว่าร้อยปี และแน่นอนว่าเป้าหมายส่วนหนึ่งต้องเป็นการมองหาของกินเด็ดๆ ในย่านตลาดนี้กัน จริงๆ แล้วการมาเดินเล่นในตลาดปลาควรมาช่วงเช้า เพราะจะมีของสดๆ ส่งตรงจากทะเลให้เลือกหลากหลาย แต่สำหรับคนที่อยากมุ่งหน้ามาหาของอร่อยกินน่ะ มาได้ตั้งแต่เช้ายันค่ำ เพราะมีร้านอาหารสารพัดให้เลือกซื้อเลือกกินกันเพียบ โดยส่วนใหญ่จะเปิดถึงตอนค่ำเลยด้วยนะ จะกินอาหารทะเล เนื้อ ผัก ขนมหวาน ที่นี่มีให้เลือกชิมกันละลานตา อยากกินอะไรมาลุยกันได้เลย

รูปจาก https://taiken.co/single/tanukikoji-sapporos-oldest-shopping-arcade/

อิ่มท้องกันแล้ว ก็ต้องหาเรื่องเดินย่อยกันซักนิด ใกล้ๆ กับตลาดนิโจ คือถนน Tanukikoji ซึ่งเป็นแหล่งช้อปปิ้งที่มีสารพัดร้านรวงให้เลือกซื้อเลือกหากันตั้งแต่สายไปจนถึงดึกๆ เลยละ จะเป็นข้าวของเครื่องใช้ ของฝาก ของที่ระลึก ของกิน และร้านอาหารอีกมากมาย แถมร้านค้าขวัญใจสายช้อปอย่างร้านขายรองเท้าชื่อดัง ABC Mart ร้านขายสินค้าแบรนด์เนมมือสอง ไปจนถึงห้างยอดฮิตของนักท่องเที่ยวอย่าง Don Quijote ก็อยู่ตรงนี้ เชื่อแน่ว่าสายช้อปน่าจะแฮปปี้เลยละ

 

 

วันที่ 2

4

ตื่นเช้ามาเราก็มุ่งหน้าไปเช็คอินที่อีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวสุดฮ้อตอย่างโอตารุ เรียกว่ามาฮอกไกโดก็ควรจะได้เห็นที่นี่สิ ใช่มั้ย? แต่ก่อนจะไปถึงไฮไลท์ที่เที่ยว เราขอเลี้ยวออกจากสถานีไปหาอะไรรองท้องกันก่อน เพราะเดินมาแค่ประมาณ 5 นาที ก็จะเจอเข้ากับ Otaru sankaku market ตลาดสดไซส์ไม่ใหญ่ แต่มีอาหารหลากหลายเมนูให้เราได้รองท้องกันตอนเช้าตรู่แบบดี๊ดีเชียวละ แหม ก็ออกมาตอนเช้าอะไรๆ ก็ยังไม่ค่อยจะได้ตกถึงท้องนี่นะ เดินไปเดินมาส่องร้านที่พอใจกันได้ แล้วก็เริ่มใส่กันให้เต็มที่เลยสิคะ จะรออะไร!

เอาละ พอท้องอิ่มแล้วก็มุ่งหน้าไปเที่ยวกันต่อได้แบบแฮปปี้ และแม้ว่าบริเวณไฮไลท์อย่างคลองโอตารุนั้น จะถือว่ามีช่วงพีคสุดๆ ในฤดูหนาว ซึ่งจะมีภาพหิมะขาวๆ สะท้อนแสงไฟในยามค่ำคืนบริเวณริมคลอง ที่หลายคนยกให้ว่าบรรยากาศโรแมนติกมากกก แต่ขอบอกว่ามาในฤดูอื่นก็ถือว่าแปลกตาไปอีกแบบนะเอ้า ได้เห็นสีอื่นนอกจากสีขาวของหิมะบ้างก็ถือว่ามีชีวิตชีวาแปลกตาไปอีกแบบเลยเชียว แถมเดินสบายๆ ไม่ต้องเบียดเสียดผู้คนเหมือนในช่วงไฮซีซั่นด้วยนะ มาลองดู

บริเวณใกล้ๆ กันยังถือเป็นย่านที่รวบรวมเอาสถานที่ท่องเที่ยวไว้แน่นๆ กันเลยละ ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีที่มีนาฬิกาไอน้ำโบราณอยู่ด้านหน้า หรือร้านขายของที่ระลึกซึ่งจะเห็นผ่านตาได้บ่อยๆ ในบริเวณนี้อย่างผลิตภัณฑ์เครื่องแก้วท้งหลาย นอกจากนั้นยังมีร้านรวงให้เลือกซื้อเลือกหาสารพัดสินค้าหลากหลายหมวดหมู่อีกเพียบเลยละ ถือว่าเดินย่อยได้แบบสนุกเลย นอกจากนั้น ยังมีร้านขนมที่ชวนให้เราเลี้ยวออกนอกเส้นทางตั้งอยู่เรียงราย เรียกว่าเดินไป ชิมไป ช้อปไป ถ้าไม่ตั้งสติให้ดีอาจจะล้มละลายทางการเงินกันได้ตรงนี้เอาง่ายๆ เลยเชียวละ

จากร้านรวงสารพันในย่านคลองโอตารุ ขอเปลี่ยนบรรยากาศการเดินทางด้วยการนั่งรถบัสมายัง Tenguyama Ropeway เพื่อชมวิวมุมสูงของเมืองโอตารุกันแบบเต็มๆ ตา แม้ว่าการมาในช่วงกลางวันจะไม่ได้เห็นแสงไฟระยิบระยับเหมือนในยามค่ำคืน แต่ก็ถือว่าได้วิวสวยสดชื่นตาไปอีกแบบนะ ถ้าใครมาช่วงหน้าหนาว ตรงนี้จะขาวโพลนไปด้วยหิมะตามสไตล์ฮอกไกโด แต่อาจจะเดินลำบากกว่าเวลาไม่มีหิมะนิดนึงนะ อยู่ที่ความชอบจ้าในส่วนนี้ อยากเห็นสีไหนเลือกมาในฤดูที่ชอบได้เลย

เสร็จสรรพจากการทัวร์โอตารุพอหอมปากหอมคอ เราก็กลับมาเดินกันต่อที่ฐานที่มั่นในตัวเมืองซัปโปโร โดยขอไปป้วนเปี้ยนแถว Ramen Yokocho หรือ ตรอกราเมน อันเป็นอีกหนึ่งอาหารไฮไลท์ที่มาถึงฮอกไกโดแล้วต้องได้กิน และรับรองว่าไม่มีผิดหวังถ้ามาถึงตรอกนี้ เพราะนอกจากราเมนคลาสสิกอย่างมิโสะหรือโชยุราเมนแล้ว ที่นี่ยังมีเมนูพิเศษๆ อย่างราเมนขาปูทาราบะ และอีกหลายเมนูให้เลือกสั่งเลือกลองกันด้วยนะ เพราะตรอกเล็กๆ แห่งนี้อัดแน่นไปด้วยร้านราเมนสารพัดรูปแบบชนิดแน่นเอี้ยด และแต่ละร้านก็มีพื้นที่กระจุ๋มกระจิ๋มให้นั่งกินกันได้ไม่กี่คนเท่านั้น มาถึงแล้วลองเดินเลือกดูเมนูที่ถูกใจให้ทั่วก่อนนะ แต่ถ้ามาช่วงพีคอย่างเย็นๆ หรือค่ำๆ อาจจะต้องรอคิวกันซักหน่อย อย่าปล่อยให้ตัวเองหิวโซมาล่ะ เดี๋ยวจะโมโห หาอะไรรองท้องมาก่อนนิดนึงก็ดีน้า

 

 

 

วันที่ 3

เช้าวันสุดท้ายในทริป เราตื่นไปปั่นจักรยานเล่นแบบชิลล์ๆ ที่สวนสาธารณะ Moerenuma Park ซึ่งออกแบบโดยประติมากรชาวญี่ปุ่นที่โด่งดังในระดับโลก Isamu Noguchi ที่นี่เก๋เพราะเป็นสวนสาธารณะที่แทบจะหาต้นไม้ไม่เจอ! แต่บอกเลยว่าเจ๋งมากกกกก เพราะเป็นสนามหญ้ากว้างๆ สุดลูกหูลูกตา มีเนินเขาเตี้ยๆ สูง 65 เมตร มีปิรามิดกระจกใสๆ ที่ชวนให้คิดถึงพิพิธภัณฑ์ Louvre ขึ้นมาเชียว และยังมีประติมากรรมเจ๋งๆ อีกเพียบเลยนะ ที่นี่มีความยาวโดยรอบประมาณ 4 กิโลเมตร ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน มองไปทางไหนก็จะเห็นแต่สีเขียวของหญ้าและต้นไม้ เล่นเอาอยากจับมือล้อมวงวิ่งเป็นวงกลมเหมือนในหนัง The Sound of Music กันเลยทีเดียว แต่ในช่วงหน้าหนาวจะเป็นอีกฟีลที่ไม่ซ้ำกัน เพราะจะเห็นแต่ลานหิมะขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา อยากได้ฟีลไหนก็เลือกตามช่วงเวลาที่มาเที่ยวกันเอาเนอะ

ปั่นจักรยานรับอากาศยามเช้ากันสะใจแล้ว ก็กลับมาต่อด้วยการเช็คอินจุดไฮไลท์อย่าง Sapporo Clock Tower หรือ หอนาฬิกาซัปโปโร ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ต้องได้เห็น เพราะนี่คือหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตในเมืองนี้ ตัวหอนาฬิกาตั้งอยู่ในเขตพื้นที่วิทยาลัยเกษตรซัปโปโร และเป็นอาคารเก่าแก่ที่มีอายุนับร้อยปีแล้วนะ เพราะสร้างมาตั้งแต่ช่วง ค.ศ.1878 กันโน่น ด้านในของหอนาฬิกาเป็นพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์เมืองซัปโปโร และรายละเอียดของตัวหอนาฬิกาแห่งนี้ มาซัปโปโรต้องแวะมาเช็คอินที่นี่ให้ได้นะ อย่าลืม!

พิกัดต่อไปของเราคือโรงงานช็อคโกแลต Shiroi Koibito Park ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ขนมของฝากชื่อดังอย่าง Shiroi Koibito ที่หลายคนชื่นชอบนั่นเองละ โรงงานนี้ตั้งอยู่ภายใต้อาคารอิฐหน้าตาคลาสสิกเชียว เมื่อซื้อตั๋วเข้าไปด้านในเราจะได้เห็นน้ำพุช็อคโกแลตเป็นจุดเช็คอินหลักจุดแรกที่แทบทุกคนต้องแวะแชะรูปกันตรงนี้ก่อน จากนั้นเมื่อเดินเข้าไปเรื่อยๆ เราจะได้เห็นเรื่องราวความเป็นมาของช็อคโกแลตจากหลายประเทศ รวมถึงส่วนผสมของขนมจากโรงงานนี้ ถัดเข้าไปจะเป็นส่วนที่เราจะได้เห็นวิธีทำขนมกันแบบเต็มๆ ตา เมื่อเดินต่อมาก็จะเจอเข้ากับส่วนของคาเฟ่ที่บอกเลยว่าล่อใจมากกกก อยากกินทุกอย่างเลย! ส่วนสุดท้ายเราจะได้พบกับโซนของเล่น พื้นที่ขายของฝากและของที่ระลึก รวมถึงถ้าเราซื้อบัตรลองทำเวิร์คช็อปขนมเอาไว้ก็สามารถมาทำได้กันตรงนี้ละ สนุกและอิ่มจ้า ต้องมาแวะเลย

อีกที่หนึ่งซึ่งเราเลือกมาแวะกันในวันสุดท้าย ได้แก่ Hokkaido Shrine หรือศาลเจ้าฮอกไกโด อีกหนึ่งศาลเจ้าเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1871 และถือว่าเป็นสถานที่ที่ถ้าไม่ได้มาก็เหมือนมาไม่ถึงซัปโปโรเลยเชียวนะ ตัวศาลเจ้าตั้งอยู่ในพื้นที่ต่อเนื่องกับสวนมารุยามะ จึงให้ความรู้สึกที่ร่มรื่นและเงียบสงบเหมือนได้เดินอยู่กลางป่ากันเลยทีเดียว ที่นี่จะมีช่วงที่สวยงามที่สุดในฤดูซากุระบาน แต่การได้มาเดินเล่นในฤดูอื่นนอกจากนั้นก็บอกเลยว่าไม่ได้น่าผิดหวังแต่อย่างใดเลยละ นอกจากอยู่ท่ามกลางทิวทัศน์ที่สวยและให้ความรู้สึกสงบร่มรื่นแล้ว ที่นี่ยังเป็นอีกหนึ่งศาลเจ้ายอดฮิตที่ผู้คนนิยมมาขอพรในเรื่องของความรัก การเดินทางที่ปลอดภัย และขอให้มีลูกอีกด้วยนะ อ่ะ อยากได้ข้อไหนต้องไปลองอธิษฐานกันเองแล้ว

และที่สุดท้ายในทริปฮอกไกโดฉบับสั้นๆ ของเราในคราวนี้ เราขอเลือกปิดทริปแบบอิ่มท้องกันที่ตลาด Jogai ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งตลาดสดขนาดใหญ่ในเมืองซัปโปโร ที่นี่มีร้านรวงแน่นขนัดเรียงรายกันไปตลอดทาง และด้วยความที่เป็นตลาดในรูปแบบค้าส่ง ทำให้ราคาข้าวของที่นี่นั้นเรียกได้ว่าค่อนข้างสบายกระเป๋า และแน่นอนว่าเรามาที่นี่เพื่อกิน! ไหนๆ จะเป็นมื้อสุดท้ายในทริปก่อนกลับบ้านมากินส้มตำกันต่อไป เราจึงขอจัดอาหารทะเลสดๆ กันให้แน่นๆ ฟินๆ เพื่อส่งท้ายกันแบบอิ่มเอม และบอกได้เลยว่า ตลาดแห่งนี้ไม่ทำให้เราผิดหวังจริงๆ เลยละ จัดหนักกันแบบสะใจสุดๆ ได้เลย
สำหรับเวลา 3 วัน 2 คืน ในทริปฮอกไกโดที่เราเอามาฝากกันหนนี้ ออกตัวก่อนเลยว่ายังมีไฮไลท์อีกหลายที่ในฮอกไกโดที่ไม่ได้อยู่ในแผน แต่เป็นเพราะเราอยากนำเสนอการเดินทางแบบไม่เน้นเช็คอินกันรัวๆ จนเหนื่อยแฮ่ก เพราะเวลาก็มีไม่มากนัก เลยอยากชวนให้มาเที่ยวๆ กินๆ เป็นทริปพักผ่อนกันแบบสบายๆ มากกว่า ใครเห็นดีเห็นงามจะวางแพลนตามนี้เลยก็ได้นะ หรือจะเอาไปไว้ปรับใช้ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวของคุณก็ไม่เลว แล้วคราวหน้าเราจะพาไปเที่ยวที่อื่นๆ กันบ้างน้า จะไปที่ไหนเดี๋ยวเอาไว้ว่ากันเด้อ ไปก่อนจ้า บัยยยย

ป้อมดาวห้าแฉกโกะเรียวคะคุ ที่มีความสวยงามต่างกันไปในแต่ละฤดู แล้วไปนั่งกระเช้าไฟฟ้าชมวิวค่ำคืนจากยอดเขาฮาโกดาเตะที่สวยงาม 1 ใน 3 ของญี่ปุ่นกัน ตามมาด้วยสถานที่คูลๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ตลาดเช้าฮาโกดาเตะ หุบเขานรกจิโกกุดานิ ภูเขาไฟโชวะซินซัง ฟาร์มหมีภูเขาไฟโชวะชินซัน บ่อน้ำสีฟ้าเมืองมิเอะ หมู่บ้านราเมง อุทยานแห่งชาติ ไดเซ็ตสึซัง น้ำตกกิงกะและน้ำตกริวเซ กระเช้าคุโรดาเกะ สวนสัตว์อาซาฮิยาม่า คลองโอตารุ พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี โรงเป่าแก้วคิตาอิชิ นาฬิกาไอน้ำโบราณ และตลาดปลาโจไก ป้อมดาวห้าแฉกโกะเรียวคะคุ ทะเลสาบโทยะ


บทความนี้เป็น Advertorial Content เนื้อหา ข้อมูล และรูปภาพทั้งหมดมาจากผู้สนับสนุน เว็บไซต์นี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือรับผิดชอบใดๆ
Exit mobile version