โทคุชิมะ

ชิโกกุ (Shikoku) คือหนึ่งในสี่เกาะหลักของประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะฮอนชู แม้จะมีขนาดเล็กที่สุดในบรรดาเกาะหลัก แต่ชิโกกุกลับเต็มไปด้วยเสน่ห์และธรรมชาติที่ยังคงความบริสุทธิ์ไว้ได้อย่างดี ที่นี่ประกอบด้วย 4 จังหวัด ได้แก่ โทคุชิมะ (Tokushima), คางาวะ (Kagawa), เอฮิเมะ (Ehime) และโคจิ (Kochi) ซึ่งแต่ละจังหวัดล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งวัฒนธรรม ประเพณี อาหารท้องถิ่น และสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นวัดเก่าแก่ในเส้นทางแสวงบุญ 88 วัด, ออนเซ็นที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น, หุบเขาอิยะอันเงียบสงบ ไปจนถึงชายฝั่งทะเลสวยๆ ที่เหมาะแก่การพักผ่อน สำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสญี่ปุ่นในแบบเรียบง่ายและเงียบสงบ ชิโกกุถือเป็นจุดหมายที่ตอบโจทย์อย่างแท้จริง ด้วยการเดินทางที่สะดวกขึ้นในปัจจุบัน ทั้งทางรถไฟ เรือ และทางอากาศ ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงภูมิภาคนี้ได้ง่ายขึ้น แม้จะยังไม่เป็นที่นิยมเท่าเมืองใหญ่ในญี่ปุ่น แต่ชิโกกุกลับมีความน่าค้นหาในแบบที่แตกต่าง ด้วยผู้คนที่เป็นมิตร วิถีชีวิตที่เรียบง่าย และธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกหนีความวุ่นวายจากเมืองใหญ่ แล้วมาค้นหาความสงบงามของญี่ปุ่นในอีกแง่มุมหนึ่ง แนะนำภูมิภาค ชิโกกุ สภาพอากาศ  โดยทั่วไปสภาพอากาศที่แตกต่างกันไปตามฤดูกาล โดยโดยรวมจะอยู่ในเขตอากาศแบบอบอุ่นชื้น ทำให้เที่ยวได้ตลอดทั้งปี  ฤดูใบไม้ผลิ (มี.ค. – พ.ค.) มีอากาศเย็นสบาย…

เทศกาลเต้นรำอาวะโอโดริ(Awa Odori) เป็นหนึ่งในเทศกาลเต้นรำที่มีชื่อเสียงมากที่สุดที่จัดขึ้นทั่วประเทศญี่ปุ่นในช่วงวันหยุดโอบอน(Obon)กลางเดือนสิงหาคม ระหว่างวันที่ 12-15 สิงหาคม ผู้ชมและนักเต้นรวมกว่า 1,000 คน พากันมาเยือนเมืองโทคุชิมะร่วมงานเทศกาลเต้นรำอันสนุกสนานที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 400 ปี ในวันงานจะมีกิจกรรมในกลางวันและ กิจกรรมหลักในช่วงกลางคืน(18:00-22:30) เมื่อกลุ่มนักเต้น(ren) ออกมาโชว์สเตปตามจังหวะดนตรีกลางถนนในย่านดาวทาวน์ รวมนักเต้นมือสมัครเล่นและผู้ที่ฝึกซ้อมมาตลอดปีจากโทคุชิมะ จังหวัดอื่นๆในญี่ปุ่น และบางคนมาไกลจากสหรัฐอเมริกาเลยทีเดียว กลุ่มนักเต้นจะแต่งตัวชุดที่มีสีสันสดใส ผู้หญิงใส่เสื้อคลุมยูกาตะ ส่วนผู้ชายสวมชุดฮัปปิ(happi-ยูกาตะแบบสั้นและกางเกงขาสั้น) ในช่วงกลางคืนกลางใจเมืองโทคุชิมะปิดถนนเพื่อให้เป็นเวทีสำหรับเต้นรำ แบ่งออกเป็น 7 แห่งมีที่ให้นั่งชมทั้งแบบฟรีและแบบเสียค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ยังมีซุ้มอาหาร และซุ้มเกมคอยให้บริการด้านนอกพื้นที่เวทีการแสดงอีกด้วย นักท่องเที่ยวที่วางแผนเพื่อมาเข้าร่วมงานเทศกาลจะต้องจองโรงแรมล่วงหน้า 2-3 เดือน หรือพักเมืองใกล้เคียง เช่น เมืองนารูโตะ(นั่งรถไฟ 40 นาที) เมืองทาคามัตสึ(นั่งรถไฟ 1 ชั่วโมง) หรือโอซาก้า(ขับรถยนต์ 2.5 ชั่วโมง) ตั๋วที่นั่งเข้าชมสามารถซื้อล่วงหน้า(จากร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศ)หรือซื้อในวันงาน(จากศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยวหน้าสถานีรถไฟโทคุชิมะ 10:00-20:30 หรือด้านนอกเวทีการแสดง 17:00-21:30)ได้ ราคาเริ่มต้นที่ 800-2,100 เยน/2 ชั่วโมง(บล็อคแรก 18:00-20:00, บล็อคที่สอง 20:30-22:30) สำหรับนักท่องเที่ยวที่มาไม่ตรงกับวันงานเทศกาล สามารถเข้าชมพิพิธภัณฑ์เทศกาลอาวะโอโดริ…

น้ำวนนารูโตะ(Naruto Whirlpools) เกิดขึ้นตามแนวชายฝั่งทะเลของช่องแคบนารูโตะ จึงก่อให้เกิดประมาณน้ำจำนวนมหาศาลถูกเคลื่อนย้ายระหว่างทะเล Seto Inland Sea กับมหาสมุทรแปซิฟิกระหว่างระดับน้ำสูงและต่ำ ตามความเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำจะเกิดขึ้นทุกๆ 6 ชั่วโมงซึ่งจะพบได้ในช่วงเช้า 1 ครั้ง และช่วงบ่ายอีก 1 ครั้ง ครั้งละ 1-2 ชั่วโมง ขนาดของน้ำวนจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับความรุนแรงของกระแสน้ำ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะมีขนาดใหญ่ในช่วงฤดูร้อนมากกว่าฤดูหนาว และน้ำวนขนาดใหญ่ที่สุดมักจะเกิดในช่วงฤดูใบไม้ผลิเป็นประจำทุก 2 สัปดาห์ ภายในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมจะทำให้เกิดน้ำวนที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่ถึง 20 เมตร น้ำวนที่นี่ไม่เป็นอันตรายต่อการล่องเรือ นักท่องเที่ยวจะมองเห็นน้ำวนได้อย่างใกล้ชิดด้วยการล่องเรือที่ให้บริการด้วย 2 บริษัทที่ตั้งอยู่ใกล้ๆท่าเรือชิโกกุ และอีกหนึ่งแห่งจากเกาะอาวาจิ(Awaji Island)ฝั่งตรงข้ามช่องแคบ ท่าเรือด้านชิโกกุคือบริษัทอูซูชิโอะคังโคเซน ให้บริการเรือขนาดเล็กออกจากท่าเรือด้านนอกของสวนสาธารณะนารูโตะ(Naruto Park) โดยมีให้เลือกระหว่าง Aqua Eddyเป็นเรือขนาดกลาง 2 ชั้นและหน้าต่างใต้น้ำ และ Wonder Naruto เป็นเรือขนาดใหญ่ 2 ชั้น อย่างไรก็ตามการชมน้ำวนที่มีมุมมองที่ดีที่สุดคือเรือ Wonder Naruto ซึ่งที่นั่งชั้น 1 จะมองเห็นได้อย่างชัดเจน ใช้เวลาล่องเรือประมาณ 20-30 นาที (เรือออกทุกๆ…

ในระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ญี่ปุ่นได้เข้าร่วมข้อตกลงการยึดอำนาจบางส่วนในเอเชียและแปซิฟิกของเยอรมัน ทหารชาวเยอรมันประมาณ 1,000 คนตั้งค่าย Bando Camp นอกเมืองนารูโตะ ได้รับอนุญาตให้อาศยอยู่และทำงานได้อย่างอิสระเพื่อพัฒนามิตรภาพกับชาวญี่ปุ่นในท้องถิ่น หลังจากสิ้นสุดสงคราม มิตรภาพระหว่างเมืองนารูโตะและเยอรมันยังคงแน่นแฟ้นอยู่และสร้างบ้านเยอรมัน(German House) เป็นสัญลักษณ์ของความปรารถนาให้เป็นพิพิธภัณฑ์สำหรับจัดแสดงเกี่ยวกับนักโทษค่าย Bando Camp ซึ่งประกอบด้วยโมเดล และภาพถ่ายต่างๆพร้อมคำบรรยายรายละเอียดเป็นภาษาญี่ปุ่น เยอรมัน และอังฤษ เดินห่างออกไปทางตอนใต้ของบ้านเยอรมันเพียง 10 นาทีเป็นที่ตั้งของสวนหมู่บ้านเยอรมัน(German Village Park หรือ Doitsu Mura Koen) ซึ่งเป็นอนุสรณ์ระลึกถึงนักโทษชาวเยอรมันที่เสียชีวิตในระหว่างจำคุกในอดีต

วัดเรียวเซนจิ(Ryozenji Temple) เป็นวัด 1 ใน 88 แห่งบนเส้นทางแสวงบุญชิโกกุอันโด่งดัง ตามรอยท่าน Kobo Daishi ผู้ก่อตั้งพุทธศาสนานิกายชินกอน ในแต่ละปีจะมีผู้แสวงบุญจำนวนมากเริ่มต้นและสิ้นสุดการเดินทางที่ด้านนอกของชิโกกุ ภูเขาโคยะซาน(Koyasan) ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดใหญ่ของนิกายชินกอน ใกล้ๆกับวัดเรียวเซนจิ ผู้ที่เดินทางแสวงบุญจะแต่งตัวด้วยเสื้อสีขาว หมวกฟาง ไม้เท้า และอุปกรณ์อื่นๆที่จำเป็น เหมือนกับที่เห็นในหนังอย่างงั้นเลย

พิพิธภัณฑ์ศิลปะโอสึกะ(Otsuka Museum of Art) สร้างขึ้นในสวนสาธารณะนารูโตะเนื่องในโอกาสครบรอบ 75 ปีของกลุ่มบริษัทยาโอสึกะ(Otsuka Pharmaceutical Group) ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ภายในจัดแสดงศิลปะตะวันตกขนาดเท่าของจริงตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงศตวรรษที่ 20 รวมถึงผลงานของ Michelangelo, El Greco, Goya, Monet และ Piccasso อีกด้วย นอกจากผลงานศิลปะภาพวาดกว่า 1.000 ชิ้นแล้ว ยังมีแทนบูชา สุสาน และโบสถ์ซิสทีน(Sistine Chapel) ภาพวาดที่ได้รับการวาดซ้ำลงบนแผ่นเซรามิก มีเทคนิคพิเศษเพื่อรักษาสีและรูปร่างผ่านระยะเวลามาถึง 2,000 ปี ในบริเวณสวนด้านนอกของพิพิธภัณฑ์ที่กว้างขวางและสวยงาม รวมถึงร้านอาหารและคาเฟ่ก็มีให้บริการแก่นักท่องเที่ยวเช่นกัน      

หุบเขาอิยะ(Iya Valley) เป็นที่เงียบสงบในหุบเขาริมแม่น้ำอิยะ ห่างออกไปทางทิศตะวันตกของจังหวัดโทคุชิมะ เชื่อมต่อกับตัวเมืองด้วยเส้นทางถนนคดเคี้ยวและแคบๆในเทือกเขาที่ลาดชัน ซึ่งบริเวณที่ลึกที่สุดของหุบเขาอิยะเดินทางเข้าถึงได้ยาก นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสประสบการณ์ประเพณีและวัฒนธรรมในชนบทแบบดั้งเดิม ปัจจุบันหุบเขาอิยะได้ถูกค้นพบใหม่อีกครั้ง และได้รับการส่งเสริมจาก Alex Kerr ผู้เขียน “Lost Japan” ผู้ที่หลงใหลและประทับใจในพื้นที่แห่งนี้หลังจากที่เขาได้มาเยือน  นอกจากนี้เขาได้ทุ่มเททำงานเกี่ยวกับโครงการบูรณะบ้านแบบดั้งเดิมทั่วหุบเขาให้แก่นักท่องเที่ยว ภายในหุบเขาอิยะ ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1.นิชิอิยะ(Nishi Iya) หรืออิยะทิศตะวันตก ได้รับการพัฒนาค่อนข้างน้อย สามารถเข้าถึงได้โดยรถบัสประจำทาง 2.โอคุอิยะ(Oku Iya) หรืออิยะทิศตะวันออก ตั้งอยู่ลึกเข้าไปในหุบเขา ซึ่งเข้าถึงได้ยาก แนะนำให้เช่ารถยนต์ส่วนตัว หรือการขนส่งเอกชน

สะพานแขวน(kazurabashi) 13 แห่ง ซึ่งทำจากเถาวัลย์สร้างขึ้นรอบๆหุบเขาอิยะ สำหรับเดินข้ามแม่น้ำในอดีต ปัจจุบันหลงเหลือสะพานที่ใช้งานได้เพียง 2 แห่ง คือ สะพานโอคุ-อิยะ คาซูระบาชิ(Oku-Iya Kazurabashi Bridges) หรือเรียกว่าสะพานคู่ 1.สะพานใหญ่ที่สุดคือ สะพาน Otto no Hashi ทอดยาว 44 เมตร ตั้งอยู่ข้างๆน้ำตกขนาดเล็ก 2.สะพานเล็กคือ สะพาน Tsuma no Hashi ยาว 22 เมตรตั้งอยู่บริเวณต้นน้ำ สะพานทั้งสองแห่งสร้างด้วยเส้นเหล็กเคเบิ้ลที่เสริมความแข็งแรงให้กับเถาวัลย์อีกชั้นหนึ่ง โดยจะสร้างใหม่ทุกๆ 3 ปี ใช้เชื่อมต่อเส้นทางเดินป่ากับบริเวณพื้นที่ตั้งแคมป์และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ห่างไกลแม่น้ำ แหล่งท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งที่นิยม คือ เคเบิ้ลคาร์ ที่ตั้งอยู่ใกล้กับสะพานTsuma no Hashi มีไว้สำหรับขนส่งสินค้าและประชาชน นักท่องเที่ยวสามารถเดินผ่านสะพานข้ามแม่ได้เช่นกัน