เก็บสตรอเบอรี่ที่ญี่ปุ่นกัน! แนะนำ ฟาร์มสตรอเบอรี่ ใกล้โตเกียว

การไป “เก็บสตรอเบอรี่ ญี่ปุ่น” ถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมยอดฮิตที่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างหลงรัก สตรอเบอรี่ญี่ปุ่นขึ้นชื่อเรื่องผลใหญ่ รสชาติหวานฉ่ำ เนื้อแน่น กลิ่นหอมละมุน และรูปร่างสวยงามเป็นเอกลักษณ์ การได้เก็บสตรอเบอรี่สดๆ จากต้นในบรรยากาศฟาร์มกลางธรรมชาติจึงเป็นประสบการณ์ที่สร้างความสุขและความทรงจำดีๆ ให้กับนักท่องเที่ยว ฟาร์มสตรอเบอรี่ หลายแห่งใกล้โตเกียวเปิดโอกาสให้ผู้มาเยือนได้เพลิดเพลินกับการเก็บสตรอเบอรี่ตามฤดูกาล พร้อมสัมผัสธรรมชาติสวยงาม สูดอากาศบริสุทธิ์ และชิมผลไม้สดหวานฉ่ำที่ดีที่สุดในช่วงฤดูหนาวถึงต้นฤดูร้อน
ฟาร์มสตรอเบอรี่ ใกล้โตเกียว อัพเดทปี 2025
กิจกรรมเก็บสตรอเบอรี่เหมาะสำหรับการเดินทางแบบไปเช้าเย็นกลับ ทั้งกลุ่มเพื่อน คู่รัก และครอบครัว นอกจากนี้หลายฟาร์มยังมีคาเฟ่ ร้านขายของที่ระลึก หรือกิจกรรมเสริมอย่างเวิร์กช็อปทำขนม จึงทำให้การเดินทางทริปเดียวได้ทั้งความสนุกและความอร่อยอย่างครบถ้วน
บทความนี้จะพาไปรู้จัก ฟาร์มสตรอเบอรี่ ญี่ปุ่น ใกล้โตเกียวที่น่าไปเยือนที่สุด พร้อมข้อมูลฤดูกาลเก็บสตรอเบอรี่ วิธีการเดินทาง ค่าใช้จ่าย และเคล็ดลับเที่ยวให้สนุกแบบมือโปร วางแผนง่าย เที่ยวสบายในปี 2025 เตรียมกล้องให้พร้อม แล้วออกไปลิ้มรสสตรอเบอรี่หวานฉ่ำกลางธรรมชาติญี่ปุ่นกันเถอะ
ฤดูกาลของ ฟาร์มสตรอเบอรี่ ที่ ญี่ปุ่น
ฤดูกาลเก็บสตรอเบอรี่ ที่ ญี่ปุ่นโดยทั่วไปเริ่มต้นตั้งแต่กลางเดือนธันวาคมต่อเนื่องไปจนถึงต้นเดือนพฤษภาคมของปีถัดไป ถือเป็นช่วงเวลาที่ ฟาร์มสตรอเบอรี่ ทั่วญี่ปุ่นเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ แต่ละเดือนมีเสน่ห์และความพิเศษแตกต่างกัน โดยแบ่งเป็น 3 ช่วงหลักที่ควรรู้:
- กลางเดือนธันวาคม: เป็นช่วงเริ่มต้นฤดูกาล สตรอเบอรี่เริ่มผลิดอกออกผล แต่ยังไม่สมบูรณ์นัก ปริมาณผลผลิตในฟาร์มจะยังไม่มาก รสชาติอาจยังไม่หวานเต็มที่แต่สดกรอบน่าลอง ช่วงนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสบรรยากาศเงียบสงบ ไม่ต้องแย่งกันเก็บสตรอเบอรี่ และได้ลิ้มรสผลไม้รุ่นแรกของฤดู
- มกราคมถึงมีนาคม: ถือเป็นช่วงพีคที่สุดของฤดูกาลเก็บสตรอเบอรี่ สตรอเบอรี่จะผลใหญ่ สีแดงสด รสหวานฉ่ำเต็มที่ และมีปริมาณมากที่สุด ฟาร์มส่วนใหญ่จะเปิดโซนใหม่ ๆ ให้เลือกเก็บ บางแห่งจัดกิจกรรมพิเศษ เช่น เทศกาลชิมสตรอเบอรี่ การทำขนมจากสตรอเบอรี่สด และการจัดแสดงพันธุ์สตรอเบอรี่หายาก ช่วงนี้เหมาะที่สุดในการวางแผนทริปฟาร์มสตรอเบอรี่
- เมษายนถึงต้นพฤษภาคม: เข้าสู่ช่วงปลายฤดูกาล ผลผลิตจะเริ่มลดน้อยลง ขนาดผลอาจเล็กลงบ้าง แต่ยังคงรสชาติหวานอร่อยไม่แพ้ช่วงพีค จุดเด่นคือราคาค่าเข้าเก็บมักถูกลงกว่าช่วงสูงสุด และนักท่องเที่ยวไม่แน่นมาก ทำให้สามารถเก็บสตรอเบอรี่ได้อย่างสบาย ๆ เหมาะกับสายเที่ยวประหยัดงบ หรือผู้ที่ต้องการบรรยากาศชิลล์ ๆ
เคล็ดลับเพิ่มเติม: ฟาร์มหลายแห่งมีบริการจองออนไลน์ล่วงหน้า แนะนำให้จองเพื่อการันตีคิวในวันหยุดสุดสัปดาห์หรือช่วงวันหยุดยาว เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมสูงมาก บางฟาร์มมีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับการจองล่วงหน้า เช่น ส่วนลดค่าเข้า หรือของที่ระลึก
นอกจากนี้ควรตรวจสอบข้อมูลฟาร์มล่วงหน้าเกี่ยวกับชนิดของสตรอเบอรี่ที่มีให้เก็บ กฎระเบียบในการเก็บผลไม้ เช่น ห้ามนำอาหารเข้า ห้ามเด็ดดอกไม้ และบริการเสริมอย่างโซนคาเฟ่หรือเวิร์กช็อป เพื่อให้ทริปเป็นไปอย่างราบรื่นและสนุกที่สุด!กลางเดือนธันวาคม:** เป็นช่วงเริ่มต้นฤดูกาล สตรอเบอรี่เริ่มผลิดอกออกผล แต่ยังไม่สมบูรณ์นัก ปริมาณผลผลิตในฟาร์มจะยังไม่มาก อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสบรรยากาศเงียบสงบ คนไม่พลุกพล่าน และได้ลิ้มรสสตรอเบอรี่รุ่นแรกของฤดู
1. Dragon Farm (จังหวัดชิบะ)
Dragon Farm เป็นหนึ่งในฟาร์มสตรอเบอรี่ ญี่ปุ่น ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง ตั้งอยู่ในจังหวัดชิบะ ใกล้สนามบินนาริตะ เดินทางสะดวก มีสายพันธุ์สตรอเบอรี่ให้เลือกชิมหลากหลาย เช่น Akihime และ Beni Hoppe โดยสตรอเบอรี่ของที่นี่ขึ้นชื่อในเรื่องความหวานฉ่ำและกลิ่นหอมสดชื่น

จุดเด่น: แขกสามารถชิมสตรอเบอรี่สดได้ไม่อั้นภายในเวลา 30 นาที มีคาเฟ่ในฟาร์มให้บริการของหวานจากสตรอเบอรี่สดใหม่ เช่น พาร์เฟต์ สมูทตี้ และเค้กสตรอเบอรี่ โซนพักผ่อนกว้างขวาง พร้อมมุมถ่ายรูปน่ารัก ๆ
ค่าใช้จ่าย: ประมาณ 2,000 เยนต่อคน
การเดินทาง: นั่งรถไฟ JR จาก Tokyo Station ถึงสถานี Narita แล้วต่อแท็กซี่ประมาณ 15 นาที หรือใช้บริการรถบัสฟาร์มที่ต้องสำรองล่วงหน้า
2. Kawatsura Strawberry Farm (จังหวัดชิบะ)
ฟาร์มขนาดใหญ่ที่มีเรือนกระจกหลายหลัง ปลูกสตรอเบอรี่หลากหลายสายพันธุ์ ตั้งอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวกจากโตเกียว โดยเน้นมาตรฐานการปลูกแบบสะอาดปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

จุดเด่น: ฟาร์มขนาดใหญ่กว่า 10 ไร่ ระบบการจัดการสะอาด มีโซนเก็บสตรอเบอรี่แบ่งตามสายพันธุ์อย่างชัดเจน พร้อมมีจุดพักผ่อนและมุมถ่ายรูปในสวน
ค่าใช้จ่าย: ประมาณ 1,800 เยนต่อคน (รวมชิมไม่อั้น 30 นาที)
การเดินทาง: นั่ง JR จากโตเกียวมาลงสถานี Naruto แล้วต่อแท็กซี่ประมาณ 10 นาที หรือใช้บริการ Shuttle Bus ของฟาร์มในบางฤดูกาล
3. Tokyo Strawberry Park (จังหวัดคานากาวะ)
Tokyo Strawberry Park เป็นฟาร์มสตรอเบอรี่ในร่มขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในจังหวัดคานากาวะ เปิดให้เก็บสตรอเบอรี่ได้ตลอดทั้งปี โดยควบคุมสภาพอากาศภายในโรงเรือนอย่างมีประสิทธิภาพ

จุดเด่น: เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเก็บสตรอเบอรี่แม้ในวันที่ฝนตกหรืออากาศหนาว มีคาเฟ่และโซนทำขนม DIY จากสตรอเบอรี่สด เช่น เค้กโรลและไอศกรีม มีบริการถ่ายรูปในธีมสวนสตรอเบอรี่ด้วย
ค่าใช้จ่าย: ประมาณ 2,500 เยนต่อคน
การเดินทาง: จากโตเกียว นั่ง JR มาลงสถานี Tsurumi แล้วต่อรถบัสประมาณ 20 นาที เดินทางง่ายจากเมืองใหญ่
4. Ichigo-no-Sato Farm (จังหวัดโทจิกิ)
ฟาร์มในจังหวัดโทจิกิ ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องสตรอเบอรี่สายพันธุ์ Tochiotome ที่หวานฉ่ำที่สุดในญี่ปุ่น บรรยากาศฟาร์มปลอดโปร่ง ปลูกแบบไร้สารเคมี พร้อมโซนจัดกิจกรรมให้เด็ก ๆ

จุดเด่น: มีสวนขนาดใหญ่ ปลูกแบบไร้สารเคมี มีโซนถ่ายรูปสวย ๆ พร้อมจัดกิจกรรมสำหรับเด็ก เช่น ระบายสีสตรอเบอรี่ และเวิร์กช็อปทำขนม
ค่าใช้จ่าย: ประมาณ 2,000 เยนต่อคน (มีโปรแกรมทัวร์สวนและชิมผลไม้)
การเดินทาง: จาก Tokyo Station นั่ง Shinkansen ไปลงสถานี Utsunomiya แล้วต่อรถประมาณ 20 นาที บรรยากาศเงียบสงบเหมาะกับวันพักผ่อน
5. Mother Farm (จังหวัดชิบะ)
Mother Farm เป็นฟาร์มท่องเที่ยวขนาดใหญ่ในจังหวัดชิบะที่มีชื่อเสียงในหมู่นักท่องเที่ยว เหมาะสำหรับการใช้เวลาทั้งวันกับครอบครัว มีทั้งโซนเก็บสตรอเบอรี่ สัตว์เลี้ยง และสวนดอกไม้ตามฤดูกาล

จุดเด่น: นอกจากการเก็บสตรอเบอรี่ นักท่องเที่ยวยังสามารถชมโชว์แกะ ป้อนนมลูกวัว และทำไอศกรีมโฮมเมด มีร้านอาหารในฟาร์มที่เสิร์ฟเมนูท้องถิ่น รวมถึงร้านขายของฝากที่มีสินค้าจากนมและสตรอเบอรี่
ค่าใช้จ่าย: ค่าเข้า Mother Farm ประมาณ 1,500 เยน + ค่าเก็บสตรอเบอรี่เพิ่มเติมประมาณ 1,800 เยน
การเดินทาง: นั่งรถไฟจากโตเกียวถึงสถานี Kimitsu แล้วต่อรถบัสประมาณ 40 นาที
6. Sano Strawberry Farm (จังหวัดโทจิกิ)
ฟาร์มแห่งนี้ตั้งอยู่ในเมืองซาโนะ จังหวัดโทจิกิ ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องสตรอเบอรี่สายพันธุ์ Tochiotome และ Skyberry ที่มีรสชาติหวานฉ่ำ และขนาดผลใหญ่

จุดเด่น: มีบริการให้ชิมสตรอเบอรี่ได้หลายสายพันธุ์ภายในฟาร์มเดียว พร้อมโซนพักผ่อนสบาย ๆ สำหรับครอบครัว มีร้านค้าขายขนมและของฝากจากสตรอเบอรี่ เช่น แยมสดและขนมโมจิสตรอเบอรี่ค่าใช้จ่าย: ประมาณ 2,000 เยนต่อคน (ขึ้นอยู่กับแพ็กเกจที่เลือก)
การเดินทาง: นั่งรถไฟจากโตเกียวถึงสถานี Sano แล้วต่อรถประมาณ 15 นาที มีบริการ Shuttle Bus บางช่วงฤดูกาล
7. Harada Farm (จังหวัดกุนมะ)
Harada Farm ตั้งอยู่ในเมืองนูมาตะ จังหวัดกุนมะ เป็นฟาร์มขนาดใหญ่ที่มีทั้งสวนสตรอเบอรี่ สวนแอปเปิ้ล และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผลไม้มากมาย

จุดเด่น: สามารถเก็บผลไม้ได้หลากหลายชนิดตลอดปี ไม่เฉพาะสตรอเบอรี่เท่านั้น มีร้านขายของฝากที่จำหน่ายแยม น้ำผลไม้ และของหวานทำจากผลไม้สด มีโซนร้านอาหารในฟาร์มให้บริการเมนูท้องถิ่น
ค่าใช้จ่าย: ประมาณ 2,200 เยนต่อคน สำหรับเก็บสตรอเบอรี่ (ราคาต่างหากสำหรับผลไม้อื่น)
การเดินทาง: นั่งรถไฟ JR มาลงสถานี Numata แล้วต่อแท็กซี่ประมาณ 10 นาที หรือเช่ารถขับเองเพื่อความสะดวกในการเที่ยวฟาร์มหลายแห่งในพื้นที่
วิธีเดินทางและค่าใช้จ่าย
การเดินทาง: ส่วนใหญ่สามารถนั่งรถไฟ JR หรือ Shinkansen จากสถานีหลักในโตเกียว เช่น Tokyo, Ueno หรือ Shinjuku ต่อด้วยรถบัสหรือแท็กซี่ระยะทางสั้น ๆ อีกประมาณ 10–20 นาที
ค่าใช้จ่ายเฉลี่ย: อยู่ระหว่าง 1,800–2,500 เยนต่อคน โดยแต่ละฟาร์มจะมีเวลาจำกัดในการเก็บและกินได้ไม่อั้นภายในเวลา 30–45 นาที
ข้อควรรู้: ฟาร์มบางแห่งให้บริการอุปกรณ์เสริม เช่น ถุงมือพลาสติก หรือตะกร้าใส่ผลไม้ฟรี แต่บางแห่งอาจมีค่าใช้จ่ายเล็กน้อย ควรตรวจสอบรายละเอียดก่อนจอง
ทริคเพิ่มเติม: อย่าลืมเตรียมหมวกและพกน้ำดื่มติดตัว เพราะแม้จะเป็นฤดูหนาว แต่การเดินในฟาร์มที่มีแสงแดดจัดอาจทำให้เหนื่อยได้ง่าย การใส่รองเท้าที่สะดวกสบายจะช่วยให้สนุกกับการเก็บสตรอเบอรี่ได้เต็มที่สรุป: การ “เก็บสตรอเบอรี่ ญี่ปุ่น” ใกล้โตเกียวไม่ใช่แค่เรื่องของความอร่อยเท่านั้น แต่ยังเป็นกิจกรรมกลางแจ้งที่ได้สัมผัสธรรมชาติ สัมผัสวิถีชีวิตชนบท และได้เก็บความทรงจำดี ๆ ร่วมกับครอบครัวหรือเพื่อนฝูง สตรอเบอรี่ ญี่ปุ่น ไม่เพียงแต่หวานฉ่ำละลายในปาก แต่ยังสื่อถึงความตั้งใจและความพิถีพิถันในการทำเกษตรของคนญี่ปุ่นอีกด้วย