ค้นหาคูปองและบทความ

Close
สมัครสมาชิก

หน้าร้อนญี่ปุ่น ทำไมถึงต้องใส่ชุด ยูกาตะ ?

กรุณาเข้าสู่ระบบ

หน้าร้อนญี่ปุ่น ทำไมถึงต้องใส่ชุด ยูกาตะ ?

เมื่อพูดถึงฤดูร้อนในญี่ปุ่น ภาพหนึ่งที่อยู่ในความทรงจำของใครหลายคนคือภาพผู้คนในชุด ยูกาตะ เดินทอดน่องท่ามกลางบรรยากาศของเทศกาลดอกไม้ไฟยามค่ำคืน ไฟประดับที่ส่องแสงระยิบระยับ และเสียงหัวเราะของผู้คนที่ลอยคลอไปกับกลิ่นหอมของขนมญี่ปุ่นจากร้านแผงลอย บรรยากาศเช่นนี้อาจดูเรียบง่าย แต่กลับอบอวลด้วยความอบอุ่นและความเป็นญี่ปุ่นในทุกอณู

ชุดยูกาตะ คือหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของฤดูร้อนในญี่ปุ่น ที่ไม่เพียงสร้างเสน่ห์ให้กับผู้สวมใส่ แต่ยังสะท้อนถึงรากวัฒนธรรมอันลึกซึ้งของชาวญี่ปุ่นอย่างแท้จริง ตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงผู้สูงวัย ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ทุกคนสามารถใส่ชุดยูกาตะเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของฤดูกาลแห่งการเฉลิมฉลองนี้ได้อย่างเท่าเทียม

เบื้องหลังผืนผ้าที่ดูพริ้วไหวและสดใส ยังซ่อนเรื่องราวของความเรียบง่าย ความเคารพต่อธรรมชาติ และการใช้ชีวิตอย่างพอดีในฤดูที่ร้อนอบอ้าว ชุดยูกาตะจึงไม่ได้เป็นเพียงเสื้อผ้า แต่ยังเป็นตัวแทนของจิตวิญญาณฤดูร้อนของญี่ปุ่น ที่เชื้อเชิญให้เราชะลอจังหวะชีวิต หายใจลึก ๆ และดื่มด่ำไปกับเสน่ห์อันไม่เหมือนใครของฤดูกาลนี้

บทความนี้จะพาไปสำรวจโลกของ “ชุดยูกาตะ” ตั้งแต่ประวัติความเป็นมา ความแตกต่างจากกิโมโน เหตุผลที่คนญี่ปุ่นนิยมใส่ในหน้าร้อน ไปจนถึงวิธีการใส่ให้ดูดี และการเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตร่วมสมัย เพื่อให้เข้าใจว่า ทำไมผืนผ้าธรรมดาผืนหนึ่ง จึงกลายเป็นหัวใจของฤดูร้อนญี่ปุ่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ความเป็นมาของชุด ยูกาตะ

ยูกาตะ

คำว่า ” ยูกาตะ ” (浴衣) มีรากศัพท์จากภาษาญี่ปุ่นดั้งเดิม โดยมาจากคำว่า “ยุ” (湯) หมายถึงน้ำร้อน หรือการอาบน้ำ และ “คาตะ” (衣) ซึ่งหมายถึงเสื้อผ้า เมื่อรวมกันแล้วหมายถึง “เสื้อผ้าที่ใส่ตอนอาบน้ำ” ซึ่งสื่อถึงจุดประสงค์ดั้งเดิมของยูกาตะในฐานะเสื้อคลุมที่ใช้หลังจากอาบน้ำร้อนในโรงอาบน้ำสาธารณะหรือบ่อออนเซ็นในยุคโบราณ

ย้อนไปในสมัยเฮอัน (ปี ค.ศ. 794–1185) ยูกาตะมีบทบาทเฉพาะในราชสำนัก โดยชนชั้นสูงจะสวมใส่หลังจากอาบน้ำเพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายเปลือยเปล่าจนเกินงาม และเพื่อซับน้ำให้แห้ง ขณะเดียวกันก็ช่วยให้ยังดูเรียบร้อยสมฐานะ การใช้ยูกาตะในยุคนั้นยังถูกผูกโยงกับแนวคิดเรื่องมารยาทและความสะอาดซึ่งถือเป็นคุณธรรมสำคัญของชาวญี่ปุ่น

เมื่อเวลาผ่านไป โดยเฉพาะในยุคเอโดะ (ค.ศ. 1603–1868) ชุดยูกาตะได้ค่อย ๆ แพร่หลายจากชนชั้นสูงสู่ประชาชนทั่วไป ด้วยการพัฒนาเนื้อผ้าให้บางเบา ระบายอากาศได้ดี และราคาจับต้องได้มากขึ้น ประชาชนจึงเริ่มใส่ยูกาตะนอกบ้านมากขึ้น เช่น ใส่เดินเล่นริมแม่น้ำหลังอาบน้ำในช่วงเย็น หรือใช้ใส่เดินชมเทศกาลหน้าร้อนที่เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในหมู่ชาวเมือง

การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้ชุดยูกาตะค่อย ๆ กลายเป็นเสื้อผ้าที่ไม่ใช่แค่ใช้ภายในบ้านหรือหลังอาบน้ำเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นเครื่องแต่งกายฤดูร้อนที่สื่อถึงการพักผ่อน ความเรียบง่าย และความสุขในชีวิตประจำวัน จนถึงทุกวันนี้ ยูกาตะยังคงได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง และกลายเป็นหนึ่งในเสื้อผ้าที่สะท้อนความเป็นญี่ปุ่นได้ดีที่สุดในสายตาทั้งคนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

ความแตกต่างระหว่างชุด ยูกาตะ กับ กิโมโน

ยูกาตะ

แม้ชุดยูกาตะและกิโมโนจะมีรูปลักษณ์ที่คล้ายกันในสายตาของผู้ที่ไม่คุ้นเคย แต่แท้จริงแล้ว ทั้งสองมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนทั้งในแง่ของวัสดุ โครงสร้าง วิธีการสวมใส่ และโอกาสที่ใช้ ซึ่งสะท้อนถึงวัตถุประสงค์การใช้งานที่แตกต่างกันของแต่ละชุดอย่างลึกซึ้ง

  • วัสดุ: ชุดยูกาตะนิยมผลิตจากผ้าฝ้ายหรือใยสังเคราะห์ที่มีน้ำหนักเบา โปร่งสบาย และระบายอากาศได้ดี เหมาะกับสภาพอากาศร้อนชื้นในฤดูร้อนของญี่ปุ่น ส่วนกิโมโนมักทำจากผ้าไหม ผ้าเรยอน หรือผ้าทอแบบพิเศษที่หนาและมีความเงางาม ใช้ในสภาพอากาศทั่วไปหรือในฤดูที่เย็นกว่า และเน้นความหรูหรา
  • การสวมใส่: ชุดยูกาตะมีขั้นตอนการสวมใส่ที่ง่าย ไม่ต้องมีชั้นในหรืออุปกรณ์เสริมมากมาย เพียงพันรอบตัวและคาดด้วยโอบิเบา ๆ เหมาะกับการใส่เองที่บ้านหรือใส่เที่ยวงาน ส่วนกิโมโนต้องใช้ชั้นซับในที่เรียกว่า “นากาจูบัง” (Nagajuban) ต้องพันอย่างมีเทคนิค และคาดด้วยโอบิที่หนาและแข็ง ใช้เข็มกลัด ผ้าผูกช่วยเสริมอีกหลายชั้น จึงมักต้องมีผู้ช่วยในการแต่งตัว
  • โอกาสในการใช้งาน: ชุดยูกาตะเหมาะกับงานไม่เป็นทางการ เช่น เทศกาลหน้าร้อน งานดอกไม้ไฟ หรือเดินเที่ยวเมืองเก่า ส่วนกิโมโนเหมาะกับพิธีการที่เป็นทางการ เช่น งานแต่งงาน พิธีจบการศึกษา พิธีชงชา หรืองานเฉลิมฉลองระดับครอบครัวหรือสังคม
  • การดูแลรักษาและราคา: ชุดยูกาตะสามารถซักด้วยเครื่องซักผ้าทั่วไปได้ ดูแลรักษาง่ายและราคาค่อนข้างเข้าถึงได้ ส่วนกิโมโนมีราคาสูงมาก (บางชุดหลักแสนเยนหรือมากกว่า) ต้องซักแห้ง และเก็บรักษาอย่างพิถีพิถันเพื่อป้องกันผ้าชำรุดหรือเสียรูป

เมื่อพิจารณาจากทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ว่ายูกาตะคือชุดที่สะท้อนถึงความเรียบง่ายและการใช้ชีวิตในแบบญี่ปุ่นช่วงฤดูร้อน ในขณะที่กิโมโนคือชุดที่เน้นพิธีการและความประณีตในเชิงศิลปะ ทั้งสองแบบจึงมีบทบาทของตนเองในวัฒนธรรมญี่ปุ่นและยังคงได้รับความนิยมแตกต่างกันตามกาลเทศะ

ทำไมชุดยูกาตะจึงนิยมในฤดูร้อน

หน้าร้อนในญี่ปุ่นมีลักษณะอากาศร้อนชื้น อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 30–35 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะในเมืองใหญ่จะมีความร้อนอบอ้าวและไอน้ำระเหยจากพื้นถนนอย่างหนาแน่น เมื่อรวมกับกิจกรรมกลางแจ้งอย่างงานเทศกาลดอกไม้ไฟและมัตสึริ การเลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่โปร่งสบายจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง และนี่คือเหตุผลว่าทำไม “ชุดยูกาตะ” จึงกลายเป็นเสื้อผ้าประจำฤดูร้อนของชาวญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน

ยูกาตะทำจากผ้าฝ้ายหรือใยสังเคราะห์เนื้อบาง ซึ่งมีคุณสมบัติที่ตอบโจทย์กับสภาพอากาศหน้าร้อนได้เป็นอย่างดี:

  • ระบายอากาศดี: เนื้อผ้าบางเบา ไม่หนาแน่น เมื่อสวมใส่แล้วจะรู้สึกเย็นสบาย และมีอากาศถ่ายเทรอบตัว ช่วยลดอุณหภูมิร่างกายได้ดีโดยไม่ต้องใช้เครื่องปรับอากาศ
  • สวมใส่ง่าย: ไม่ต้องมีชั้นในหรือโครงสร้างซับซ้อนแบบกิโมโน การสวมใส่ใช้เพียงโอบิคาดเอว ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแต่งตัวเองได้โดยไม่ต้องมีผู้ช่วย
  • เหมาะกับบรรยากาศเทศกาล: ลวดลายของชุดยูกาตะมักจะเน้นลวดลายธรรมชาติ เช่น ดอกไม้ฤดูร้อนอย่างดอกทานตะวัน ดอกฟูจิ นกน้ำ หรือแม้แต่ลายคลื่นและพัดญี่ปุ่น สื่อถึงความสดชื่นและรื่นเริงตามแบบฉบับฤดูร้อน
  • สื่อสารอารมณ์: สีและลวดลายของชุดยูกาตะช่วยบอกเล่าบุคลิกของผู้ใส่ เช่น สีพาสเทลและลายดอกไม้ให้ความรู้สึกอ่อนหวาน สีเข้มและลายเรขาคณิตแสดงความสง่างามหรือเรียบหรู

นอกจากนี้ ยูกาตะยังมีบทบาทสำคัญทางวัฒนธรรมในช่วงฤดูร้อนของญี่ปุ่น เพราะไม่เพียงเป็นชุดสำหรับใส่ไปเทศกาลเท่านั้น แต่ยังเป็นเสื้อผ้าที่สื่อถึงการผ่อนคลาย เช่น ใส่เดินเล่นตามเมืองเก่า เที่ยวสวน หรือชมพลุดอกไม้ไฟยามค่ำคืน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นประสบการณ์หน้าร้อนที่คนญี่ปุ่นรักและภาคภูมิใจ

ในยุคปัจจุบัน แม้จะมีเสื้อผ้าแฟชั่นสมัยใหม่มากมาย แต่ความนิยมในยูกาตะก็ไม่ลดลง หนำซ้ำยังกลับมาเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นและนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสความเป็นญี่ปุ่นอย่างแท้จริง ไม่แปลกเลยที่ยูกาตะจะกลายเป็นเครื่องแต่งกายที่คนญี่ปุ่นรอคอยที่จะได้หยิบมาใส่ในช่วงฤดูร้อนของทุกปี ทั้งเพื่อความสบาย ความสวยงาม และเพื่อสืบสานวัฒนธรรมที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์

ใส่ชุดยูกาตะไปที่ไหนได้บ้าง?

ยูกาตะ

ในฤดูร้อนของญี่ปุ่น มีกิจกรรมมากมายที่เหมาะกับการสวมใส่ชุดยูกาตะ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่การแต่งกายเพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงออกถึงความเคารพต่อวัฒนธรรมและความตั้งใจในการมีส่วนร่วมในบรรยากาศเฉลิมฉลองของฤดูกาล ช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดในการสวมชุดยูกาตะคือเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ญี่ปุ่นจัดเทศกาลฤดูร้อนขึ้นทั่วประเทศอย่างคึกคัก โดยมีกิจกรรมที่ทั้งชาวญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวต่างรอคอย เช่น:

  • เทศกาลดอกไม้ไฟ (Hanabi Taikai): เทศกาลยอดนิยมในฤดูร้อน เช่น เทศกาลดอกไม้ไฟริมแม่น้ำซูมิดะในโตเกียว และงานพลุดอกไม้ไฟนานิวะโยโดกาวะในโอซาก้า ผู้คนจะมาจับจองพื้นที่ริมแม่น้ำเพื่อชมการแสดงพลุสุดตระการตาใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน และชุดยูกาตะคือเครื่องแต่งกายที่ช่วยเติมเต็มบรรยากาศให้กลายเป็นค่ำคืนที่โรแมนติกและทรงเสน่ห์
  • งานมัตสึริท้องถิ่น: งานเทศกาลที่สะท้อนวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่น Gion Matsuri ในเกียวโตที่มีขบวนแห่อันยิ่งใหญ่ หรือ Nebuta Matsuri ในอาโอโมริที่มีโคมไฟรูปนักรบและเทพเจ้าขนาดมหึมาลอยไปตามถนน การสวมยูกาตะเดินท่ามกลางขบวนแห่และแสงไฟถือเป็นประสบการณ์ที่ชวนให้หลงใหล
  • เดินเล่นในย่านเมืองเก่า: เช่น กิอง (Gion) ในเกียวโต คาวาโกเอะที่มีบ้านโบราณสมัยเอโดะ หรือถนนโบราณในทาคายามะ ที่เต็มไปด้วยร้านค้าแบบดั้งเดิม บรรยากาศของเมืองเก่าเมื่อรวมกับชุดยูกาตะจะทำให้ภาพถ่ายทุกภาพของคุณกลายเป็นโปสการ์ดมีชีวิต
  • กิจกรรมเชิงวัฒนธรรม: เช่น พิธีชงชาในสวนกลางแจ้ง การรำวงบงโอโดริ หรือการแสดงดนตรีพื้นบ้าน การใส่ยูกาตะทำให้ผู้ร่วมกิจกรรมรู้สึกกลมกลืนกับบรรยากาศ และได้รับการต้อนรับจากคนท้องถิ่นอย่างอบอุ่น

นอกจากนี้ แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังหลายแห่ง เช่น เกียวโต โอซาก้า คานาซาวะ หรืออาซากุสะในโตเกียว ยังมีบริการให้เช่าชุดยูกาตะแบบครบวงจร โดยรวมถึงการเลือกชุดตามขนาด การแต่งตัวโดยช่างผู้เชี่ยวชาญ บริการทำผมสไตล์ญี่ปุ่น และการถ่ายภาพที่ระลึกในสตูดิโอหรือสถานที่จริง ทำให้ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวมือใหม่หรือผู้ที่เคยใส่ยูกาตะมาแล้ว ก็สามารถมีประสบการณ์ที่ประทับใจและสะดวกสบายได้อย่างเต็มที่

สำหรับชาวญี่ปุ่น การใส่ชุดยูกาตะออกไปเที่ยวในฤดูร้อนถือเป็น “การกลับคืนสู่ความเรียบง่าย” ในขณะที่สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ มันคือ “การก้าวเข้าสู่โลกแห่งวัฒนธรรมญี่ปุ่นอย่างลึกซึ้ง” ทั้งสองความหมายนี้รวมอยู่ในผืนผ้าเดียวกันที่ไม่เพียงแค่ห่อหุ้มร่างกาย แต่ยังห่อหุ้มความทรงจำอันงดงามของหน้าร้อนญี่ปุ่นไว้อย่างสมบูรณ์

วิธีใส่ชุดยูกาตะให้ดูดี

แม้ยูกาตะจะเป็นชุดที่สวมใส่ง่ายและดูสบายตากว่ากิโมโน แต่การใส่ให้ดูดีและมีสไตล์ ก็ต้องอาศัยการใส่ใจในรายละเอียดหลายอย่าง เพื่อให้ชุดดูเป็นธรรมชาติ กลมกลืนกับบุคลิกของผู้ใส่ และเหมาะสมกับโอกาสหรือสถานที่ การเลือกสวมยูกาตะให้สวย ไม่ได้หมายถึงการมีชุดแพงที่สุด แต่คือการเข้าใจจังหวะของฤดูกาล วัฒนธรรม และการนำเสนอความงามในแบบของตนเองอย่างลงตัว

เคล็ดลับสำหรับการใส่ยูกาตะให้ดูดีที่สุด ได้แก่:

  • เลือกสีให้เหมาะกับฤดูและโอกาส: ชุดยูกาตะในฤดูร้อนมักเน้นสีสว่าง เช่น ฟ้า ชมพู เขียวมิ้นต์ หรือเหลืองอ่อน ซึ่งให้ความรู้สึกเย็นสบายและเหมาะกับแสงธรรมชาติ แต่หากเป็นกิจกรรมช่วงเย็นหรือค่ำ แนะนำให้เลือกสีเข้มอย่างน้ำเงิน ม่วง หรือแดงเบอร์กันดี เพื่อเพิ่มความขรึมและลึกลับยามค่ำคืน
  • จับจีบผ้าอย่างพิถีพิถัน: การพับชายเสื้อ ชายกระโปรง และการพันโอบิให้สมมาตรและเรียบตึงจะทำให้ชุดดูสง่า ไม่ยับยุ่ง และช่วยให้ผู้ใส่รู้สึกมั่นใจมากขึ้น แม้จะเป็นเพียงชุดผ้าฝ้ายธรรมดา แต่หากจัดทรงดี ชุดยูกาตะจะดูงดงามไม่แพ้กิโมโน
  • แมตช์กับเครื่องประดับ: การเลือกอุปกรณ์เสริมอย่างพัด ปิ่นปักผม กระเป๋าผ้าทรงญี่ปุ่น (kinchaku) หรือรองเท้าเกตะ (geta) ที่เข้าชุด จะช่วยยกระดับความกลมกลืนของลุคให้ดูมีความเป็นญี่ปุ่นแท้ๆ มากยิ่งขึ้น หากไปงานเทศกาลตอนเย็น การถือโคมไฟกระดาษเล็ก ๆ ก็เป็นอีกหนึ่งลูกเล่นที่เพิ่มความมีเสน่ห์ได้
  • ทรงผมและเมคอัพ: สไตล์ที่เรียบง่ายแต่ประณีต เช่น การรวบผมถักเปีย หรือมวยต่ำ พร้อมเครื่องประดับเล็ก ๆ อย่างดอกไม้ประดิษฐ์ จะช่วยเติมเต็มภาพรวมให้ดูหวานละมุน เมคอัพควรเน้นลุคธรรมชาติ ใช้สีชมพูอ่อนหรือพีชเพื่อให้ดูสดใสเข้ากับบรรยากาศฤดูร้อน

นอกจากนี้ การใส่ยูกาตะอย่างมั่นใจ และเดินอย่างสง่างามก็เป็นองค์ประกอบที่สำคัญไม่แพ้กัน เพราะเสน่ห์ของผู้สวมใส่คือสิ่งที่ทำให้ชุดดูสวยอย่างแท้จริง ชุดยูกาตะไม่ใช่แค่เสื้อผ้า แต่เป็นการถ่ายทอดรสนิยม ความรู้สึก และวัฒนธรรมที่ละเอียดอ่อนของญี่ปุ่นออกมาให้คนรอบข้างได้รับรู้

บทส่งท้าย

ชุดยูกาตะไม่ใช่แค่เสื้อผ้า แต่คือจิตวิญญาณของฤดูร้อนที่หลอมรวมความสวยงาม ความเรียบง่าย และวัฒนธรรมไว้ในชิ้นเดียว มันบอกเล่าเรื่องราวของญี่ปุ่นตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน ผ่านผืนผ้าที่พริ้วไหวในสายลม ลวดลายที่สะท้อนความคิดสร้างสรรค์ และวิธีการใส่ที่สื่อถึงความอ่อนน้อมและเคารพต่อประเพณี

ไม่ว่าคุณจะเป็นชาวญี่ปุ่นหรือนักท่องเที่ยว การได้ลองใส่ยูกาตะอย่างน้อยหนึ่งครั้งในหน้าร้อน คือประสบการณ์ที่ทั้งงดงาม อบอุ่น และเต็มไปด้วยความหมาย เป็นช่วงเวลาที่คุณจะได้เชื่อมต่อกับสิ่งรอบตัวในแบบที่เรียบง่าย แต่ลึกซึ้งที่สุด

กดบันทึกคูปองและบทความไว้เพื่อทำให้การเดินทางไปญี่ปุ่นของคุณสะดวกสบายยิ่งขึ้น!

ถ้ากดบันทึกคูปองหรือบทความที่ชอบเอาไว้ ก็จะสามารถค้นหาได้อย่างง่ายดายจาก "My Page" ในระหว่างการเดินทาง ลองใช้กันดูนะ!

สมัครสมาชิก

ロンタ

บันทึกแล้ว!