7 ร้านมิชลิน ฮอกไกโด สายกินห้ามพลาด

“ฮอกไกโด” ไม่ได้มีดีแค่ที่พักหรือที่เที่ยวที่หลากหลาย แต่ยังมีเมนูอาหารที่ถูกรังสรรค์ด้วยวัตถุดิบสุดพรีเมียมในท้องถิ่นมากมายให้ได้ลองไปชิม ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารท้องถิ่นทั่วไปหรือร้านอาหารที่ขึ้นชื่อระดับมิชลิน วันนี้เราเอา 7 ร้านมิชลิน ฮอกไกโด มาแนะนำกัน แต่ละร้านจะมีเมนูพิเศษขนาดไหน เชฟมีความเชี่ยวชาญในการปรุงอาหารรูปแบบใดบ้าง มาดูกันเลย
1. Sushi Miyakawa (Sapporo)

Sushi Miyakawa เป็นร้านซูชิที่โด่งดังและได้รับการยกย่องอย่างสูงในเมืองซัปโปโร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะมิชลิน ฮอกไกโด 3 ดาว ซึ่งเป็นเกียรติสูงสุดในวงการอาหาร ทำให้เป็นจุดหมายปลายทางของนักชิมจากทั่วโลก ร้านมีบรรยากาศที่เงียบสงบและหรูหรา ภายในมีเคาน์เตอร์ไม้ฮิโนกิ (Hinoki) ที่ทำจากไม้ต้นเดียว มีที่นั่งเพียง 7-8 ที่ ทำให้เชฟสามารถดูแลลูกค้าได้อย่างใกล้ชิด
“เชฟมิยากาวะ” คือผู้รังสรรค์เมนูของร้าน เชฟมีทักษะและความเชี่ยวชาญสูงในการทำซูชิสไตล์ Edomae มีการนำวัตถุดิบชั้นเลิศจากฮอกไกโดมาผสมผสานได้อย่างลงตัว เน้นการใช้วัตถุดิบตามฤดูกาลที่สดใหม่ที่สุด วัตถุดิบเหล่านั้นมาจากตลาดปลาในฮอกไกโดและตลาดปลาโทโยซุ (Toyosu) ในโตเกียว เพื่อให้ได้รสชาติที่เป็นเลิศ
ราคาอาหาร : ราคาเริ่มต้นของคอร์สโอมากาเสะ ที่ร้าน Sushi Miyakawa ในซัปโปโรอยู่ที่ประมาณ 30,000 – 41,500 เยนต่อคน ไม่รวมเครื่องดื่ม ราคาค่อนข้างสูงสักหน่อย แต่อร่อยคุ้มค่าอย่างแน่นอน
ที่ตั้ง : ร้านตั้งอยู่ในย่าน Maruyama ของซัปโปโร หากเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินสามารถเดินทางโดยรถไฟใต้ดินสาย Tozai ไปลงที่สถานี Maruyama Koen แล้วเดินต่อประมาณ 3 นาที หรือลงที่สถานี Nishi 28-chome และเดินต่อประมาณ 5 นาที การจองที่นั่งที่ร้านนี้เป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก เนื่องจากร้านมีขนาดเล็กและได้รับความนิยมสูง ควรจองล่วงหน้าหลายเดือน
เวลาทำการ : ร้านเปิดให้บริการวันจันทร์, อังคาร, พฤหัสบดี,ศุกร์, เสาร์และอาทิตย์ เปิดเป็น 2 รอบคือ 17.00 – 19.15 น. และ 19.30 น. เป็นต้นไป ปิดบริการทุกวันพุธ
2. Moliere (Sapporo)

Moliere เป็นร้านอาหารฝรั่งเศสระดับ 3 ดาวมิชลิน ตั้งอยู่ในเมืองซัปโปโรเช่นเดียวกัน ทางร้านโดดเด่นไม่เหมือนใครด้วยการนำเสนออาหารฝรั่งเศสชั้นสูงที่ผสานเข้ากับวัตถุดิบตามฤดูกาลคุณภาพเยี่ยมจากท้องถิ่นของฮอกไกโดได้อย่างลงตัว สมแล้วที่เป็นร้านมิชลิน ฮอกไกโดที่โด่งดัง ร้านตั้งอยู่ในอาคารที่ดูเรียบง่ายในย่านที่พักอาศัยใกล้กับสวน Maruyama Park บรรยากาศภายในร้านอบอุ่นและคลาสสิก มีการตกแต่งแบบฝรั่งเศสที่ให้ความรู้สึกสบายตา ซึ่งแตกต่างจากร้านอาหารญี่ปุ่นทั่วไป
“เชฟ Hiroshi Nakamichi” เจ้าของร้าน นำความรู้และเทคนิคการทำอาหารฝรั่งเศสที่สั่งสมมานานกว่า 40 ปี มาใช้กับวัตถุดิบชั้นยอดของฮอกไกโด ทั้งเนื้อสัตว์ ผัก และอาหารทะเลได้แบบลงตัวสุด ๆ เมนูของร้านจะเป็นแบบ Set Course โดยเชฟจะสร้างสรรค์เมนูตามวัตถุดิบที่ดีที่สุดในแต่ละวัน ซึ่งทำให้แต่ละครั้งที่ไปเยือนจะได้รับประสบการณ์ที่แตกต่างกันไป
ราคาอาหาร : ราคาของคอร์สอาหารจะแตกต่างกันไป แต่ถือว่าเป็นร้านระดับมิชลิน 3 ดาวที่มีราคาเข้าถึงได้ง่าย โดยราคาต่อคนสำหรับมื้อกลางวันเริ่มต้นที่ประมาณ 14,800 เยน และมื้อค่ำเริ่มต้นที่ประมาณ 23,000 เยน ไม่รวมภาษีและค่าบริการ
ที่ตั้ง : ร้าน Moliere ตั้งอยู่ในอาคาร Lafayette Miyagaoka Bldg ใกล้สวน Maruyama Park ในเขต Chuo-ku ซัปโปโร สามารถเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินสาย Tozai ไปลงที่สถานี Maruyama Koen หรือ Nishi 28-chome แล้วเดินต่อไปอีกนิดเดียวก็ถึงร้านแล้ว
เวลาทำการ : เปิด 2 ช่วงเวลา คือ มื้อกลางวันเวลา 11.30 -14.00 และมื้อค่ำ 17.30-20.00 น. เปิดบริการทุกวันยกเว้นวันพุธ แน่นอนว่าใครอยากลองชิมเมนูสุดพรีเมียมนี้ต้องจองล่วงหน้าก่อนเดินทางไป
3. Nukumi (Sapporo)

Nukumi เป็นร้านอาหารไคเซกิ ระดับมิชลิน 3 ดาวที่โดดเด่นในเมืองซัปโปโร โดดเด่นด้วยการนำเสนออาหารญี่ปุ่นชั้นสูงที่ผสานความดั้งเดิมเข้ากับความคิดสร้างสรรค์สมัยใหม่ มี ”เชฟมาซากิ ยามาโมโตะ” เชฟผู้ก่อตั้งและเจ้าของร้านซึ่งเป็นชาวฮอกไกโดแท้ ๆ เป็นผู้ทำอาหาร การที่เขาเป็นชาวท้องถิ่นฮอกไกโดทำให้เขามีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในวัตถุดิบ และสามารถสร้างสรรค์เมนูที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เชฟจะเป็นผู้กำหนดเมนูในแต่ละวัน ไม่มีเมนูแบบตามสั่ง เน้นการใช้วัตถุดิบคุณภาพดีจากท้องถิ่นตามฤดูกาลของฮอกไกโด ไม่ว่าจะเป็นผักที่ปลูกในพื้นที่หรืออาหารทะเลที่สดใหม่จากน่านน้ำใกล้เคียง ทุกจานจะถูกรังสรรค์อย่างพิถีพิถันและจัดจานอย่างสวยงามราวกับงานศิลปะ
ร้าน Nukumi มีบรรยากาศที่เงียบสงบในอาคารที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่หรูหรา มีห้องส่วนตัวให้บริการ แต่ก็มีเคาน์เตอร์ที่สามารถนั่งดูเชฟทำอาหารได้อย่างใกล้ชิด มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้บริการแต่ไม่ได้มีให้เลือกมากนัก สามารถเอาเครื่องดื่มไปเองได้ แต่ต้องแจ้งกับทางร้านก่อน เวลาในการรับประทานอาหารอยู่ที่ประมาณ 2.30 ชั่วโมง ดังนั้นเคลียเวลาสำหรับมื้อพิเศษนี้ไว้ได้เลย
ราคาอาหาร : ราคาคอร์สอาหารเริ่มต้นที่ 15,000 เยน ไม่รวมเครื่องดื่มและค่าบริการ
ที่ตั้ง : การเดินทางไปยังร้าน Nukumi ไม่ยากเพราะตั้งอยู่ใกล้กับสวน Nakajima Park ในเมืองซัปโปโร การเดินทางที่สะดวกที่สุดคือการใช้รถไฟใต้ดินสาย Nanboku สถานีที่ใกล้ที่สุด: เดินทางไปยังสถานี Nakajima Koen ทางออก 3 จากนั้นเดินต่อประมาณ 5 นาทีก็จะถึงร้าน
เวลาทำการ : เปิดให้บริการมื้อค่ำเวลา 18.00 – 20.00 น. เปิดบริการทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์ และวันอาทิตย์ที่ 4 ของเดือน
4. Kukizen (Otaru)

ร้านมิชลินฮอกไกโดร้านต่อมาคือร้าน Kukizen ร้านซูชิสุดพรีเมียมที่ตั้งอยู่ในเมืองโอตารุ ร้านนี้ขึ้นชื่อเรื่องความสดใหม่ของวัตถุดิบที่ใช้ทำซูชิและซาชิมิ โดยเชฟจะคัดสรรวัตถุดิบที่ดีที่สุดตามฤดูกาล มีเมนูโอมากาเสะซึ่งเชฟจะเป็นผู้เลือกและสร้างสรรค์เมนูตามวัตถุดิบที่มีในแต่ละวัน ทำให้ลูกค้าได้สัมผัสกับรสชาติที่พิเศษและไม่ซ้ำกัน เป็นที่นิยมในหมู่คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวอย่างมาก และเคยได้รับการกล่าวถึงว่ามีมาตรฐานสูง อีกทั้งยังเคยได้รับรางวัลมิชลิน 2 ดาวมาก่อน เป็นการการันตีคุณภาพของร้านได้ดีเลยทีเดียว
แม้เป็นร้านซูชิขนาดเล็กแต่ก็มีบรรยากาศอบอุ่นและเป็นกันเองมาก ๆ เวลาเข้าไปรับประทานอาหารที่นี่จะรู้สึกเหมือนได้มาทานอาหารที่บ้านเพื่อนมากกว่าร้านอาหารหรูหรา ภายในร้านมีเคาน์เตอร์บาร์สำหรับลูกค้าที่อยากชมเชฟทำซูชิอย่างใกล้ชิด ได้พูดคุยสอบถาม แลกเปลี่ยนความรู้เรื่องอาหารกับเชฟ แต่ต้องรีบจองสักนิดหนึ่งเพราะมีที่นั่งจำกัด
ราคาอาหาร : เริ่มต้นที่มื้อกลางวัน 6,600 เยนและมื้อเย็น 15,000 เยน ไม่รวมเครื่องดื่มและค่าบริการ
ที่ตั้ง : ร้าน Kukizen ตั้งอยู่ที่ชั้น 1 ของตึก Vista Shinonome การเดินทางไปร้าน Kukizen ในโอตารุนั้นไม่ยากเพราะอยู่ห่างจากสถานี JR Otaru เพียง 600 เมตรใช้เวลาเดินประมาณ 8-10 นาทีก็จะถึงร้าน
เวลาทำการ : ร้านเปิดบริการตั้งแต่วันพุธ – วันอาทิตย์ เปิด 2 ช่วงเวลาคือ มื้อกลางวัน 11.30 – 14.30 น. และมื้อค่ำ 18.00 – 20.30 น. และปิดร้านทุกวันจันทร์และอังคาร
5. Rakuichi (Niseko)

Rakuichi เป็นร้านโซบะที่มีชื่อเสียงระดับโลก ตั้งอยู่ในพื้นที่ชนบทของนิเซโกะ ไม่ได้เป็นเพียงร้านอาหารธรรมดา แต่เป็นจุดหมายปลายทางของนักชิมที่ต้องการสัมผัสกับศิลปะการทำโซบะชั้นสูง ใครเป็นสายเส้นต้องประทับใจมากกับร้านนี้ จุดเด่นที่ทำให้ Rakuichi มีชื่อเสียงคือการทำเส้นโซบะของร้าน เส้นโซบะจะทำจากเมล็ดโซบะที่คัดสรรอย่างดีและบดเอง ทำให้เส้นมีกลิ่นหอมและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์
เมนูในร้าน Rakuichi นั้นเนรมิตโดยเชฟ Tatsuru Rai เชฟคนนี้คือผู้เชี่ยวชาญการทำโซบะด้วยมือที่มีชื่อเสียงระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการผสมแป้ง นวด และตัดเส้นโซบะก็ทำด้วยมือของเขาต่อหน้าลูกค้าที่เคาน์เตอร์ ทำให้ลูกค้าได้ชมกระบวนการที่ละเอียดลออตั้งแต่ต้นจนจบ แน่นอนว่าเป็นร้านมิชลินฮอกไกโดที่เอามาแนะนำก็ต้องมีดาวมิชลินการันตี ร้านนี้เคยได้รับดาวมิชลิน 1 ดาว ไม่เท่านั้น ร้านนี้ยังได้รับการแนะนำในรายการโทรทัศน์ของ Anthony Bourdain และมีสารคดีทาง Netflix ชื่อ “A Tale of Two Cities” อีกด้วย
ร้านตั้งอยู่ในบ้านไม้หลังเล็ก ๆ ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและเป็นกันเอง ภายในมีที่นั่งเพียง 12 ที่นั่งที่เคาน์เตอร์เท่านั้น ทำให้ได้บรรยากาศที่ใกล้ชิดและเป็นส่วนตัว เมนูอาหารจะเป็นแบบ โอมากาเสะ สำหรับมื้อค่ำ ประกอบด้วยอาหารหลากหลายจาน ทั้งปลา ซาชิมิ และอาหารตามฤดูกาล ก่อนจะปิดท้ายด้วยเส้นโซบะที่เป็นไฮไลต์ การจองโต๊ะเป็นเรื่องที่ยากมาก มีที่นั่งมีจำนวนจำกัด โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว จึงจำเป็นต้องจองล่วงหน้าหลายเดือน
ราคาอาหาร : เริ่มต้นที่ 20,000 เยน แต่สำหรับคอร์ส Soba Kaiseki ราคาเริ่มต้นที่ 26,000 เยน
ที่ตั้ง : ร้านตั้งอยู่ในเขต Annupuri ของนิเซโกะ ใกล้กับสกีรีสอร์ต Niseko Annupuri International Ski Area สามารถนั่งรถแท็กซี่จากสถานี Niseko หรือสถานี Kutchan ได้
เวลาทำการ : เปิดบริการเป็น 2 ช่วง มื้อกลางวันตั้งแต่ 12.00 – 14.30 น. และมื้อเย็น 19.00 – 22.30 น. วันปิดทำการเปลี่ยนไปตามฤดูกาลคือ ธันวาคม – มีนาคม เปิดบริการทุกวัน ยกเว้นวันพุธและวันพฤหัสบดี ส่วนช่วงเมษายน – พฤศจิกายน เปิดบริการทุกวันยกเว้นวันอังคาร พุธ และพฤหัสบดี
6. Ikkou (Hagodate)

Ikkou เป็นร้านมิชลินฮอกไกโดที่มีเซตอาหารไคเซกิสุดพรีเมียมให้ได้ทดลองชิม ร้านอยู่ในเมืองฮาโกดาเตะ มีความโดดเด่นในฐานะร้านอาหารระดับมิชลิน 1 ดาว ที่นำเสนออาหารญี่ปุ่นดั้งเดิมที่ปรุงจากวัตถุดิบตามฤดูกาลและมีคุณภาพสูงของฮอกไกโด นำเสนออาหารไคเซกิแบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นคอร์สอาหารหลายจานที่แต่ละจานถูกรังสรรค์อย่างประณีตและสวยงาม เมนูของร้านจะเปลี่ยนไปตามฤดูกาลเพื่อให้ได้รสชาติและคุณภาพที่ดีที่สุด โดยเน้นการใช้วัตถุดิบสดใหม่จากท้องถิ่น เช่น อาหารทะเลที่สดจากอ่าวฮาโกดาเตะ และผักจากฟาร์มในพื้นที่
ร้าน Ikkou เป็นร้านที่เหมาะกับคนที่ไม่ชอบความวุ่นวาย อยากมาดื่มด่ำกับมื้ออาหารแบบเงียบ ๆ ชอบบรรยากาศภายในร้านที่เรียบง่ายแต่หรูหรา เพื่อรับกลิ่นไอแห่งปรัชญาการทำอาหารที่เน้นความประณีตและความใส่ใจในรายละเอียด ใครมาร้านนี้รับรองเลยว่าจะได้สัมผัสกับประสบการณ์การรับประทานอาหารที่ลึกซึ้ง รสชาติเป็นเลิศอย่างแน่นอน
ราคาอาหาร : คอร์สไคเซกิของที่ร้านจะอยู่ที่ประมาณ 10,000 เยนต่อคน ไม่รวมเครื่องดื่มและภาษี
ที่ตั้ง : สามารถเดินทางมายังฮาโกดาเตะได้ทั้งทางรถไฟและเครื่องบิน จากนั้นสามารถเดินทางด้วยรถราง (Tram) หรือรถบัส เพื่อไปยังพื้นที่ใกล้เคียงกับร้าน และยังสามารถใช้บริการรถบัสได้อีกด้วย
เวลาทำการ : ร้านเปิดบริการ 2 ช่วงเวลาคือ 18.00 – 20.00 น. และ 20.30 – 22.30 น.เปิดบริการทุกวันยกเว้นวันพุธ
7. Wada (Sapporo)

Wada ร้านมิชลินฮอกไกโดร้านสุดท้ายที่เอามาแนะนำกัน เคยได้รับรางวัลมิชลิน 2 ดาว เป็นร้านอาหารสไตล์ คัปโปะ (Kappo) ที่ตั้งอยู่ในเมืองซัปโปโร จังหวัดฮอกไกโด และเป็นหนึ่งในร้านที่ได้รับการยอมรับจากมิชลินไกด์ในเรื่องของคุณภาพอาหารและวัตถุดิบที่ยอดเยี่ยม คำว่า “คัปโปะ” หมายถึงการหั่นและปรุงอาหาร ซึ่งเชฟจะทำอาหารต่อหน้าลูกค้าที่นั่งที่เคาน์เตอร์ ทำให้ลูกค้าได้ชมศิลปะการทำอาหารอย่างใกล้ชิด
ร้านนำเสนออาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมที่เน้นวัตถุดิบตามฤดูกาล ผสมผสานกับเมนูที่สร้างสรรค์และไม่เหมือนใคร เมนูอาหารออกแบบโดยเชฟ Hayato Wada ซึ่งมีภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่เกาะ Okushiri ในฮอกไกโด ทำให้เขามีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในวัตถุดิบท้องถิ่นตามฤดูกาล เช่น ผักป่า เห็ด และหอยเม่น ซึ่งถูกนำมาใช้ในเมนูของร้านอย่างโดดเด่น ทำให้เมนูที่ออกมาไม่เพียงแต่มีรสชาติที่เหนือระดับแล้ว ยังได้รู้ซึ้งถึงความตั้งใจในการสร้างสรรค์เมนูจากเชฟด้วย
ร้าน Wada ก่อนหน้านั้นเป็นบ้านไม้เก่าแก่ที่มีอายุกว่า 50 ปี ทางเจ้าของทำการปรับปรุงใหม่ทั้งหลัง มีการตกแต่งภายในให้เป็นสีขาวสะอาดตา เหมือนกับอยู่ท่ามกลางหิมะของฮอกไกโด แต่ก็ยังคงความอบอุ่น ความสวยงามของบ้านไม้หลังเก่าเอาไว้ มีที่นั่งเคาน์เตอร์ 7 ที่นั่งสำหรับใครที่อยากดูวิธีการทำอาหารของเชฟอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ยังมีที่นั่งแบบโต๊ะ และห้องกึ่งส่วนตัวไว้บริการแขกที่เข้ามารับประทานอาหารที่ต้องการความเป็นส่วนตัว สามารถรองรับได้สูงสุด 6 คน เหมาะสำหรับโอกาสพิเศษต่าง ๆ และยังมีไวน์ให้เลือกดื่มหลากหลาย รวมถึงไวน์ท้องถิ่นจากฮอกไกโดและเกาะ Okushiri ด้วย
ราคาอาหาร : สำหรับมื้อกลางวันราคาเริ่มต้นที่ 5,500 เยน ส่วนมื้อเย็นเริ่มต้นที่ 15,000 เยน
ที่ตั้ง : ร้านอาหาร Wada ไม่ได้ตั้งอยู่ในตึก แต่ตั้งอยู่ในบ้านเก่าที่ได้รับการปรับปรุงมาเป็นร้านอาหารทำให้หาได้ไม่ยากนัก อยู่ในย่าน Maruyama ใกล้กับสถานีรถไฟใต้ดิน Maruyama Park ทำให้เดินทางสะดวก
เวลาทำการ : เปิดบริการทุกวันยกเว้นวันพุธ มื้อกลางวันตั้งแต่เวลา 11.30 – 14.00 น. มื้อเย็น 18.00 น.เป็นต้นไป
สรุป
และนี่คือ 7 ร้านมิชลินฮอกไกโดที่เอามาแนะนำกัน ใครชอบแบบไหนสไตล์ไหน อยากเข้าไปทดลองชิมความเลิศรสของอาหารที่รังสรรค์โดยเชฟมืออาชีพที่มีชื่อเสียง ต้องจองล่วงหน้ากันสักนิดหนึ่ง ยิ่งร้านมีการการันตีจากมิชลินแบบนี้ยิ่งมีคนต้องการเข้าไปใช้บริการเยอะ และอย่าลืมตรวจสอบข้อห้ามต่าง ๆ ที่ทางร้านกำหนดด้วย จะได้ไม่มีอุปสรรคและได้ดื่มด่ำกับความอิ่มอร่อยในเมนูพรีเมียม กับบรรยากาศสุด Exclusive ท่ามกลางความงามของฮอกไกโด เพื่อเก็บเป็นความทรงจำที่น่าประทับใจไปอีกนานแสนนาน


