ค้นหาคูปองและบทความ

Close
สมัครสมาชิก

รวม 12 ที่เที่ยว สวย ฮิต ห้ามพลาด ของจังหวัด Kagawa

กรุณาเข้าสู่ระบบ

รวม 12 ที่เที่ยว สวย ฮิต ห้ามพลาด ของจังหวัด Kagawa

จังหวัดคางาวะ (Kagawa) ตั้งอยู่ในภูมิภาคชิโกกุ เป็นจังหวัดที่มีขนาดเล็ก แต่มีเอกลักษณ์และมีความสำคัญในด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และมีธรรมชาติที่งดงาม นอกจากนี้ที่นี่ยังมีชื่อเสียงในด้านอาหาร โดยเฉพาะ อุด้งซานุกิ (Sanuki Udon) ที่มีเส้นเหนียวนุ่มและน้ำซุปกลมกล่อม การเดินทางมาคางาวะยังช่วยให้เราได้สัมผัสกับสถานที่ท่องเที่ยวที่มีเสน่ห์ไม่เหมือนใคร อย่างเช่น 12 สถานที่ท่องเที่ยวต่อไปนี้ ที่บอกได้เลยว่าหากได้ลองมาสักครั้ง จะรู้สึกประทับใจอีกนาน

 

 

 

1. ศาลเจ้าโคโตฮิระกุ (Kotohira-gu Shrine)

mTaira/shutterstock.com

Sanga Park/shutterstock.com

AndyLai/shutterstock.com

ศาลเจ้าโคโตฮิระกุ (Kotohira-gu Shrine) หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “คอมปิระซัง” (Konpira-san) เป็นศาลเจ้าที่สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพโอโมโนชิ-นุชิ โนะ มิโคโตะ (Omononushi-no-Mikoto) เทพแห่งท้องทะเล ในอดีตที่นี่เคยเป็นเส้นทางเดินเรือสำคัญ เพราะตั้งอยู่ใกล้ทะเลเซโตะ (Seto Inland Sea) ทำให้ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านในพื้นที่ แต่การเยี่ยมชมต้องใช้ความอดทนพอสมควร เนื่องจากศาลเจ้าตั้งอยู่บนภูเขา Zozu นักท่องเที่ยวต้องเดินขึ้นบันไดมากถึง 785 ขั้น เพื่อไปยังศาลเจ้าหลักและหากต้องการไปถึงศาลเจ้าชั้นในจะต้องเดินเพิ่มอีก 583 ขั้น รวมเป็นบันไดทั้งหมด 1,368 ขั้นเลยทีเดียว แต่ระหว่างทางเราก็จะได้สัมผัสกับบรรยากาศที่สวยงาม ทั้งวิวทิวทัศน์และศาลเจ้าเล็กๆ ที่กระจายตัวอยู่ตามเส้นทาง อีกทั้งยังมีร้านค้าและร้านขายของที่ระลึกที่ตั้งอยู่เรียงราย ให้ได้แวะพักชมสินค้าท้องถิ่นกันได้ สำหรับสถานที่น่าสนใจของศาลเจ้าก็อย่างเช่น ศาลเจ้าใหญ่ (Honden) ที่วิหารมีการออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมงดงาม บริเวณนี้ยังสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของภูเขาและท้องทะเลได้อย่างชัดเจน ต่อด้วยพิพิธภัณฑ์ศิลปะและของใช้ทางทะเล ที่จัดแสดงศิลปวัตถุโบราณและของใช้ที่เกี่ยวข้องกับการเดินเรือ นอกจากนี้สถานที่ที่ไม่ควรพลาดก็คือ ศาลเจ้าชั้นใน (Oku-sha) ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงและจัดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในพื้นที่ ว่ากันว่าหากได้ขึ้นไปขอพรจะพบแต่ความโชคดี

พิกัด https://maps.app.goo.gl/ZXrNA39E13ugBqbh7

 

 

 

2. เกาะโชโดชิมะ และ แองเจิลโรด (Angel Road)

mutsu7211/shutterstock.com

Alvinku/shutterstock.com

Akira Nakatani/shutterstock.com

แองเจิลโรด (Angel Road) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่บนเกาะโชโดชิมะ (Shodoshima Island) ลักษณะเป็นสันทรายที่โผล่ขึ้นมาเฉพาะในช่วงน้ำลง จนกลายเป็นทางเดินเชื่อมเกาะหลักของโชโดชิมะกับเกาะเล็กๆ อีก 3 เกาะ ถือเป็นจุดชมวิวธรรมชาติที่งดงามและมีบรรยากาศสุดโรแมนติก ทำให้ที่นี่กลายเป็นจุดหมายยอดนิยมของคู่รักและนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบธรรมชาติ สำหรับชื่อแองเจิลโรด มาจากความเชื่อที่ว่าหากคู่รักเดินจับมือกันข้ามทางเดินทรายนี้ พวกเขาจะได้รับพรให้มีความสัมพันธ์ที่ยืนยาวและความรักมั่นคง ทางเดินทรายนี้มีความยาวประมาณ 500 เมตร นักท่องเที่ยวสามารถเดินไปกลับระหว่างเกาะทั้ง 4 ได้ สำหรับกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดหากมีโอกาสเดินทางมาที่นี่ก็อย่างเช่น การเดินข้ามแองเจิลโรดไปยังเกาะต่างๆ ที่ตลอดเส้นทางจะได้เพลิดเพลินกับการเดินผ่านน้ำทะเลใสสะอาด พร้อมชมวิวของท้องทะเลรอบด้าน หรือการถ่ายภาพวิวที่งดงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามเย็นช่วงพระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า แสงอาทิตย์จะส่องกระทบผิวน้ำและสันทราย กลายเป็นทัศนียภาพที่งดงามน่าประทับใจ ไม่เพียงเท่านั้นใกล้ๆ กับแองเจิลโรดจะมีศาลเจ้าเล็กๆ ซึ่งคู่รักมักมาขอพรเพื่อให้ความรักยั่งยืนและพบแต่โชคดี บริเวณศาลเจ้ายังมีจุดแขวน “ema” หรือแผ่นไม้ขอพร ที่เราสามารถเขียนคำอธิษฐานเพื่อขอพรจากเทพเจ้ากันได้ นอกจากนี้หากใครต้องการชมวิวมุมสูงสามารถขึ้นไปยังจุดชมวิวบนเนินเขาใกล้เคียง ด้านบนเราจะสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของแองเจิลโรดและหมู่เกาะรอบๆ ได้อย่างชัดเจน

พิกัด https://maps.app.goo.gl/XnukMx6b949LaQBn6

 

 

 

3. หมู่บ้านถ่ายทำภาพยนตร์นิจูชิโนฮิโตมิ (Nijushi no Hitomi Movie Village)

lydiarei/shutterstock.com

AndyLai/shutterstock.com

AndyLai/shutterstock.com

หมู่บ้านถ่ายทำภาพยนตร์นิจูชิโนฮิโตมิ (Nijushi no Hitomi Movie Village) สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจบนเกาะโชโดชิมะ (Shodoshima Island) ที่นี่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ภาพยนตร์และนิยายชื่อดังเรื่อง “Nijushi no Hitomi” ของนักเขียน ซากาเอะ สึโบอุชิ (Sakae Tsuboi) ซึ่งเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคุณครูและเด็กนักเรียนในหมู่บ้านชนบทเล็กๆ ของญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หมู่บ้านแห่งนี้เป็นสถานที่ถ่ายทำหลักของภาพยนตร์ และละครโทรทัศน์หลายเวอร์ชันที่ดัดแปลงจากนิยายเรื่องนี้ นักท่องเที่ยวที่มาเยือนจะได้สัมผัสบรรยากาศย้อนยุคของญี่ปุ่นสมัยเก่า และเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของญี่ปุ่นในช่วงสงคราม สำหรับสิ่งที่น่าสนใจภายในหมู่บ้านแห่งนี้ก็อย่างเช่น อาคารเรียนไม้แบบโบราณที่จำลองบรรยากาศของโรงเรียนในยุค 1920-1950 นักท่องเที่ยวสามารถเดินเข้าไปสัมผัสกับห้องเรียนและชั้นเรียนแบบเก่าๆ ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศความทรงจำในอดีต ที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์ Nijushi no Hitomi ที่ภายในมีการจัดแสดงอุปกรณ์การถ่ายทำ ภาพถ่าย และของที่ระลึกจากภาพยนตร์ นอกจากนี้ยังมีการฉายภาพยนตร์ในเวอร์ชันต่างๆ ให้ผู้เข้าชมได้ชมเพื่อเข้าใจถึงประวัติและความสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้อีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้นหมู่บ้านแห่งนี้ยังถูกออกแบบมาให้เหมือนกับหมู่บ้านญี่ปุ่นยุคโบราณ ที่ถนนและบ้านเรือนที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของญี่ปุ่นในยุคเก่า ร้านค้าและร้านอาหารภายในหมู่บ้านก็ยังตกแต่งตามสไตล์ยุคสมัยที่นิยายถูกเขียนขึ้นด้วยเช่นกัน

พิกัด https://maps.app.goo.gl/y544TYa5K6kRBgiA7

 

 

 

4. หมู่บ้านชิโกกุมูระ (Shikoku Mura)

HirokiY/shutterstock.com

Nono901/shutterstock.com

Nono901/shutterstock.com

หมู่บ้านชิโกกุมูระ (Shikoku Mura) เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1976 โดยมีเป้าหมายในการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมพื้นบ้าน และโบราณสถานที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ มีการรวบรวมอาคารบ้านเรือน ร้านค้า โกดัง และสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ที่มีอายุเก่าแก่หลายร้อยปีจากทั่วทั้งภูมิภาคชิโกกุ มาไว้ที่นี่ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังเน้นให้เห็นถึงวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวบ้าน และวิธีการที่พวกเขาปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและธรรมชาติ ภายในหมู่บ้านมีสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่างเช่น สะพานเถาวัลย์ (Kazura Bashi) ที่จำลองมาจากสะพานในหุบเขาอิยะ (Iya Valley) รวมไปถึงอาคารเก่าแก่ที่ถูกย้ายมาตั้งแสดง เช่น บ้านชาวนา โกดังเก็บของเก่าแก่ และโรงหมี่ อาคารเหล่านี้สร้างขึ้นในยุคเอโดะและเมจิ บางอาคารมีอายุเก่าแก่ถึง 300 ปี ซึ่งแต่ละหลังจะมีเอกลักษณ์ในด้านสถาปัตยกรรมและการออกแบบ ไม่ว่าจะเป็นหลังคามุงด้วยหญ้าหรือโครงสร้างที่ทำมาจากไม้ ไม่เพียงเท่านั้นที่นี่ยังมีพิพิธภัณฑ์ศิลปะ (Shikoku Mura Gallery) ที่ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดัง อันโดะ ทาดาโอะ (Tadao Ando) ภายในพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงงานศิลปะญี่ปุ่นและตะวันตก ที่นี่จึงเหมาะมากสำหรับผู้ที่สนใจงานศิลปะ ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น

พิกัด https://maps.app.goo.gl/b7huU9TZsMTJZaXYA

 

 

 

5. สวนริทสึริน (Ritsurin Garden)

leungchopan/shutterstock.com

wenbin xia/shutterstock.com

Tanya Jones/shutterstock.com

สวนริทสึริน (Ritsurin Garden) สร้างขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 ตั้งแต่ยุคเอโดะ โดยขุนนางผู้ครองแคว้นทาคามัตสึ เดิมทีสวนแห่งนี้ถูกใช้เป็นสวนส่วนตัวของผู้ครองแคว้น แต่ภายหลังได้เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมได้ในปี 1875 สวนริทสึรินมีพื้นที่กว้างขวางถึง 75 เฮกตาร์ แบ่งออกเป็นสองส่วนหลักคือ สวนทางใต้และสวนทางเหนือ โดยสวนทางใต้เป็นสวนแบบดั้งเดิมที่มีทิวทัศน์ภูเขาชิอิน (Mount Shiun)ทำหน้าที่เป็นฉากหลังที่งดงาม เสริมให้บรรยากาศของสวนยิ่งดูมีชีวิตชีวา นอกจากนี้นักท่องเที่ยวยังสามารถปีนขึ้นไปยังจุดชมวิวบนภูเขาเพื่อชมทิวทัศน์ของสวนและเมืองทาคามัตสึจากมุมสูง ส่วนสวนทางเหนือถูกพัฒนาในยุคสมัยใหม่ และเป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายของพืชพรรณ หนึ่งในลักษณะที่โดดเด่นของสวนริทสึรินคือทะเลสาบและสระน้ำที่ถูกออกแบบอย่างพิถีพิถัน มีเกาะเล็กๆ และสะพานเชื่อมต่อระหว่างพื้นที่ต่างๆ สะท้อนความงดงามของภูเขาและต้นไม้รอบข้าง โดยเฉพาะในฤดูใบไม้ร่วงที่ใบไม้เปลี่ยนสี และฤดูใบไม้ผลิที่ดอกไม้แข่งกันออกดอกบานสะพรั่ง รวมไปถึงดอกซากุระ นอกจากนี้ภายในสวนยังมีบ่อน้ำถึง 6 บ่อ ภายในบ่อมีปลาคาร์ปแหวกว่ายไปมา และมีเนินเขาที่มีการจัดภูมิทัศน์ไว้อย่างสวยงาม 13 ลูก รวมทั้งยังมีศาลาชงชาหลายแห่ง ที่สร้างขึ้นในสไตล์ดั้งเดิมของญี่ปุ่น โดยนักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถเข้าร่วมพิธีชงชาและลิ้มลองชาเขียวญี่ปุ่น พร้อมชิมขนมหวานท้องถิ่นท่ามกลางบรรยากาศที่ร่มรื่นกันได้เลย

พิกัด https://maps.app.goo.gl/FAtpmDWjcnwXt5GC8

 

 

 

6. ปราสาทมารุกาเมะ (Marugame Castle)

kamatari/shutterstock.com

Shawn.ccf/shutterstock.com

yutayama/shutterstock.com

ปราสาทมารุกาเมะ (Marugame Castle) สร้างขึ้นในปี 1597 เพื่อใช้เป็นที่พักของผู้ปกครองแคว้นท้องถิ่น ปราสาทนี้ถูกสร้างขึ้นบนเนินเขาคิเมะยามะ (Kameyama) ซึ่งทำให้ตัวปราสาทมีความสูงและสามารถมองเห็นพื้นที่โดยรอบได้อย่างชัดเจน แต่ในช่วงปี 1615 หลังจากสงครามและนโยบายการลดจำนวนปราสาทในยุคเอโดะ (Edo Period) ทำให้ปราสาทถูกทำลายบางส่วน ต่อมาในปี 1641 ปราสาทได้ถูกบูรณะขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ภายในปราสาทมีสถานที่ที่น่าสนใจหลายแห่ง โดยเฉพาะกำแพงหินที่สูงชัน เป็นกำแพงที่มีความสูงถึง 60 เมตร จัดว่าเป็นหนึ่งในกำแพงหินปราสาทที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น ความสูงของกำแพงไม่เพียงแต่เสริมความมั่นคงให้กับตัวปราสาท แต่ยังช่วยให้สามารถมองเห็นทิวทัศน์อันงดงามของเมืองและทะเลเซโตะใน (Seto Inland Sea) ได้อย่างกว้างไกล โดยนักท่องเที่ยวสามารถเดินลัดเลาะไปตามทางเดินบนกำแพงเพื่อชมวิวที่งดงาม พร้อมทั้งซึมซับบรรยากาศของประวัติศาสตร์ในยุคอดีต นอกจากนี้ในส่วนของ หอคอยปราสาท (Tenshu) ซึ่งเป็นหอคอยหลักถูกสร้างมาจากไม้แบบดั้งเดิม และเป็นหอคอยมีขนาดเล็กที่สุดในบรรดาปราสาทที่เหลืออยู่ในญี่ปุ่น แต่ยังคงความสวยงามไม่เปลี่ยนแปลง การขึ้นไปด้านบนของหอคอยยังช่วยให้เราสามารถชมทิวทัศน์ของเมืองและท้องทะเลในมุมสูงได้แบบพาโนรามาอีกด้วย รวมทั้งรอบปราสาทมีต้นซากุระปลูกไว้เป็นจำนวนมาก ในช่วงที่ดอกซากุระบาน สีชมพูอ่อนของดอกซากุระตัดกับสีของกำแพงหินและหอคอยไม้จนเกิดเป็นทัศนียภาพที่งดงาม

พิกัด https://maps.app.goo.gl/DR8be4euz3Paswqy7

 

 

 

7. เกาะนาโอชิมะ (Naoshima Island)

Adam Rifi/shutterstock.com

Akio Miki JP/shutterstock.com

Avim Wu/shutterstock.com

เกาะนาโอชิมะ (Naoshima Island) ตั้งอยู่ในทะเลเซโตะใน (Seto Inland Sea) เกาะแห่งนี้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในฐานะเกาะศิลปะ ที่มีการผสมผสานระหว่างธรรมชาติและศิลปะสมัยใหม่เข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว บนเกาะยังที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ศิลปะและงานประติมากรรมกลางแจ้งที่กระจายอยู่ทั่วเกาะ ทำให้นาโอชิมะกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบศิลปะ เดิมทีเกาะนาโอชิมะเป็นเพียงชุมชนชาวประมงขนาดเล็ก แต่ต่อมาในปี 1980 บริษัท Benesse Corporation ได้เข้ามามีบทบาทในการพัฒนาเกาะนี้ให้กลายเป็นศูนย์กลางศิลปะสมัยใหม่ โดยการสร้างพิพิธภัณฑ์และจัดแสดงงานศิลปะต่างๆ บนเกาะ ภายใต้การออกแบบและดูแลโดยสถาปนิกชื่อดัง ทาดาโอะ อันโดะ (Tadao Ando) ทำให้นาโอชิมะกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลกที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวที่รักในศิลปะและธรรมชาติ ให้เดินทางมาเที่ยวชมอย่างไม่ขาดสาย สำหรับสิ่งที่น่าสนใจบนเกาะนอกจากประติมากรรมต่างๆ แล้ว ที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ศิลปะหลายแห่ง หนึ่งในนั้นก็คือพิพิธภัณฑ์เบเนสเซ่เฮาส์ (Benesse House Museum) ที่เป็นทั้งพิพิธภัณฑ์ศิลปะและโรงแรมสุดหรูตั้งอยู่ริมชายฝั่ง ภายในมีการจัดแสดงงานศิลปะสมัยใหม่จากศิลปินชื่อดังทั่วโลก ส่วนประติมากรรมที่โดดเด่นที่สุดบนเกาะจะได้แก่ ประติมากรรมฟักทองของ ยาโยอิ คูซามะ (Yayoi Kusama’s Pumpkin Sculptures) เป็นฟักทองสีเหลืองจุดดำ ขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ริมชายฝั่ง และฟักทองสีแดงที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ท่าเรือ ประติมากรรมทั้งสองแห่งนี้นอกจากจะเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพ ยังเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของเกาะอีกด้วย

พิกัด https://maps.app.goo.gl/2tU9qbipaD3e9dFU7

 

 

 

8. ศาลเจ้าทาคายะ (Takaya Shrine)

SAND555UG/shutterstock.com

EvergreenPlanet/shutterstock.com

SAND555UG/shutterstock.com

ศาลเจ้าทาคายะ (Takaya Shrine) ตั้งอยู่บนภูเขาอินาซึ (Inazuyama) เป็นศาลเจ้าชินโตที่มีความสวยงาม และมีวิวทิวทัศน์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ โดยเฉพาะหากขึ้นมาชมจากจุดชมวิวของศาลเจ้า ที่อยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเลกว่า 400 เมตร ทำให้สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองและทะเลเซโตะใน (Seto Inland Sea) ได้อย่างกว้างไกลสุดสายตา ศาลเจ้าทาคายะมีประวัติยาวนานกว่าพันปี เป็นศาลเจ้าที่มีการบูชาเทพที่เกี่ยวข้องกับการปกป้อง และให้พรด้านการเก็บเกี่ยวผลผลิต นอกจากนี้หนึ่งในไฮไลต์ที่น่าตื่นตาตื่นใจของศาลเจ้าก็คือ ประตูโทริอิ (Torii) ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนยอดเขา จากมุมมองที่เคยมีการถ่ายภาพจากบริเวณด้านล่างประตูจะดูเหมือนลอยอยู่บนท้องฟ้า ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นทางเข้าสู่สวรรค์ และยังเป็นภาพที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันเป็นจำนวนมาก การเดินทางขึ้นสู่ศาลเจ้าจะมีเส้นทางเดินเท้าจากตีนเขาขึ้นไปด้านบน ใช้เวลาประมาณ 40 นาที หรือสำหรับผู้ที่ไม่อยากเดินสามารถขับรถขึ้นไปถึงบริเวณลานจอดรถ ที่อยู่ใกล้กับศาลเจ้าได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามการเดินขึ้นเขาผ่านเส้นทางธรรมชาติจะทำให้เราได้สัมผัสกับความเงียบสงบ และความงามของธรรมชาติรอบข้างได้อย่างใกล้ชิด การเดินทางมาเที่ยวชมธรรมชาติที่นี่สามารถเดินทางมาได้ตลอดทั้งปี แต่ช่วงที่สวยงามที่สุดคือช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง เนื่องจากต้นไม้และดอกไม้รอบศาลเจ้าจะเปลี่ยนสีและออกดอกบานสะพรั่งตามฤดูกาล

พิกัด https://maps.app.goo.gl/eMQKXqwx1fFqKUVS7

 

 

 

9. วัดยาชิมะ (Yashima Temple)

shonenphoto/shutterstock.com

shonenphoto/shutterstock.com

Sanga Park/shutterstock.com

วัดยาชิมะ (Yashima Temple) ตั้งอยู่บนภูเขายะชิมะ (Mount Yashima) และเป็นวัดลำดับที่ 84 ของ “เส้นทางแสวงบุญชิโกกุ 88 วัด” (Shikoku 88 Temple Pilgrimage) ที่มีชื่อเสียง ซึ่งที่นี่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ย้อนไปถึงยุคเฮอัน (Heian Period) วัดยะชิมะสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 754 โดยพระคูไค หรือที่รู้จักกันในชื่อ “โคโบ ไดชิ” ผู้ก่อตั้งนิกายชินงอน (Shingon Buddhism) ภายในวัดมีสถานที่น่าสนใจอยู่หลายแห่ง ตั้งแต่หอพระหลักซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่ประดิษฐานพระโพธิสัตว์คันนอน ผู้มาเยือนสามารถเข้าไปกราบนมัสการและสวดมนต์ เพื่อขอพรให้ชีวิตพบแต่ความเจริญรุ่งเรืองและความสุขกันได้ ภายในพื้นที่ยังมี พิพิธภัณฑ์ยะชิมะ (Yashima Museum) ที่จัดแสดงศิลปวัตถุและของที่เกี่ยวข้องกับสงครามเก็นเปย์ รวมถึงประวัติศาสตร์ของวัดและภูเขายะชิมะ ซึ่งจะช่วยให้เราเข้าใจความสำคัญของสถานที่แห่งนี้มากยิ่งขึ้น ไม่เพียงเท่านั้นด้วยความที่วัดตั้งอยู่บนยอดเขา ทำให้รอบบริเวณมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม โดยสามารถมองเห็นตัวเมืองทาคามัตึและทะเลเซโตะใน (Seto Inland Sea) ได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงพระอาทิตย์ตกจะมีความสวยงามเป็นพิเศษ หรือใครจะขึ้นไปบนหอคอยยะชิมะ (Yashima Observatory Tower) ที่ตั้งอยู่ภายในบริเวณวัด ด้านบนจะมีจุดชมวิวที่สามารถชมได้แบบ 360 องศากันเลยทีเดียว

พิกัด https://maps.app.goo.gl/WPwWq13t2mHScaht5

 

 

 

10. ภูเขาชิวเดะ (Mt. Shiude)

SAND555UG/shutterstock.com

Akio Miki JP/shutterstock.com

Shawn.ccf/shutterstock.com

ภูเขาชิวเดะ (Mt. Shiude) ที่นี่เป็นจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงในเรื่องความงดงามของธรรมชาติ ภูเขามีความสูงประมาณ 352 เมตร แม้ว่าจะไม่สูงมาก แต่ด้วยทำเลที่ตั้งใกล้กับทะเล ทำให้ทิวทัศน์ที่มองลงมาจากยอดเขาสวยงามและน่าประทับใจ เพราะจากด้านบนเราจะสามารถมองเห็นเกาะต่างๆ ในทะเลเซโตะใน (Seto Inland Sea) รวมถึงสะพานเซโตะโอฮาชิ (Seto Ohashi Bridge) ที่เชื่อมต่อระหว่างเกาะฮอนชูกับเกาะชิโกกุได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ในแต่ละฤดูความงามของทิวทัศน์บนยอดเขายังสวยงามแตกต่างกัน ทำให้เหมาะสำหรับการเดินทางมาเที่ยวชมตลอดทั้งปี โดยในช่วงฤดูใบไม้ผลิจะเป็นเวลาที่ดอกซากุระบานสะพรั่งเต็มภูเขา จนทำให้ภูเขาชิอุเดะกลายเป็น “ภูเขาซากุระ” ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นจำนวนมาก หรือในฤดูร้อนจะเหมาะมากสำหรับการชมพระอาทิตย์ขึ้นและตก เพราะเป็นช่วงที่ท้องฟ้าแจ่มใส และท้องทะเลเป็นสีคราม ทำให้การชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกจากยอดเขามีทัศนียภาพที่งดงาม และเป็นประสบการณ์ที่ยากจะลืมเลือน ส่วนในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้บนภูเขาจะเปลี่ยนเป็นสีส้ม แดง และเหลือง ทำให้บรรยากาศโดยรอบมีสีสันสดใสและมีชีวิตชีวา นอกจากนี้ยังเป็นช่วงที่อากาศเย็นสบาย เหมาะสำหรับการปีนเขาและเดินเล่นชมธรรมชาติ ส่วนในฤดูหนาวเราอาจมีโอกาสได้เห็นปรากฏการณ์ทะเลหมอก ซึ่งเกิดจากความชื้นในทะเลที่ก่อตัวเป็นหมอกลอยคลุมอยู่เหนือทะเลเซโตะใน ทำให้บนยอดเขาเหมือนเกาะลอยอยู่บนทะเลหมอก และยังเป็นภาพวิวทิวทัศน์ที่สวยงามอลังการ

พิกัด https://maps.app.goo.gl/meNsj8LcP8ueTdUC8

 

 

 

11. เกาะชิชิจิมะ (Shishijima Island)

SAND555UG/shutterstock.com

SAND555UG/shutterstock.com

SAND555UG/shutterstock.com

เกาะชิชิจิมะ (Shishijima Island) ตั้งอยู่ในทะเลเซโตะใน (Seto Inland Sea) เป็นเกาะเล็กๆ และมีประชากรอยู่ไม่มาก จึงมีบรรยากาศเงียบสงบและยังมีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการหลีกหนีความวุ่นวายในเมืองใหญ่ มาสัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวเกาะที่เรียบง่าย เกาะชิชิจิมะมีชื่อเสียงในเรื่องของทัศนียภาพที่สวยงาม และมีวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ยังคงรักษาไว้ได้เป็นอย่างดี หนึ่งในสิ่งที่น่าสนใจบนเกาะนี้ก็คือ ต้นสนที่มีอายุหลายร้อยปี ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าต้นไม้เหล่านี้มีพลังศักดิ์สิทธิ์ในการปกปักรักษาเกาะและผู้คนที่อยู่อาศัย ทำให้เกาะนี้มีความสงบสุขและปลอดภัย นอกจากนี้บนเกาะยังมีกิจกรรมน่าสนใจหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น การเดินชมวิวและสำรวจเกาะบนเส้นทางที่ลัดเลาะไปตามชายฝั่งและเนินเขา นักท่องเที่ยวสามารถเพลิดเพลินกับการเดินชมวิวทิวทัศน์ของทะเลเซโตะใน รวมถึงเกาะเล็กๆ ใกล้เคียง ชายหาดบริเวณนี้ยังมีบรรยากาศเงียบสงบ เหมาะสำหรับการพักผ่อนและเล่นน้ำ หรือใครที่ชื่นชอบการดำน้ำ น้ำทะเลรอบเกาะชิชิจิมะมีความใสสะอาดและอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสิ่งมีชีวิตทางทะเล นักท่องเที่ยวสามารถดำน้ำตื้นเพื่อชมปะการังและสัตว์น้ำหลากหลายสายพันธุ์ หรือใครที่ชื่นชอบการตกปลา เกาะนี้ก็เป็นสถานที่ที่เหมาะเป็นอย่างมาก เนื่องจากรอบเกาะมีปลาทะเลอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และอีกหนึ่งกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเลยก็คือ การเยี่ยมชมหมู่บ้านและสัมผัสวิถีชีวิตท้องถิ่นแบบดั้งเดิมของชาวบ้านในพื้นที่

พิกัด https://maps.app.goo.gl/49JZxgmaHxFsbQxN8

 

 

 

12. เซนิกาตะ ซุนาเอะ (Zenigata Sunae)

SAND555UG/shutterstock.com

SAND555UG/shutterstock.com

SAND555UG/shutterstock.com

เซนิกาตะ ซุนาเอะ (Zenigata Sunae) เป็นศิลปะทรายที่มีรูปทรงเป็นเหรียญเงินโบราณของญี่ปุ่น ซึ่งมีขนาดใหญ่มาก ตั้งอยู่บนชายหาดในสวนสาธารณะโคโตฮิกิ (Kotohiki Park) ศิลปะทรายชิ้นนี้เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่โดดเด่นของภูมิภาคชิโกกุ (Shikoku) และถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดีและความร่ำรวย เหรียญทราย เซนิกาตะ ซุนาเอะ ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1633 ซึ่งเชื่อกันว่าสร้างขึ้นภายในคืนเดียวโดยชาวบ้านในพื้นที่ เพื่อเป็นการต้อนรับข้าหลวงประจำแคว้นคางาวะ เหรียญทรายนี้มีลักษณะคล้ายเหรียญโบราณที่ชื่อว่า “คันเอะซึโฮ” (Kanei-tsuho) ซึ่งใช้เป็นเงินตราในยุคเอโดะ นอกจากนี้เหรียญยังมีความหมายทางจิตวิญญาณที่สำคัญ โดยเชื่อว่าการได้เห็นหรือเดินทางมาเยี่ยมชมจะนำพาความโชคดีและความร่ำรวยมาสู่ชีวิต จึงทำให้สถานที่นี้เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวที่ต้องการขอพรเพื่อความมั่งคั่งและความสำเร็จ เหรียญเซนิกาตะ ซุนาเอะมีขนาดใหญ่ โดยมีความยาวประมาณ 122 เมตร และกว้างประมาณ 90 เมตร ทำให้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนจากจุดชมวิวบนภูเขาที่อยู่ใกล้เคียง เมื่อมองจากมุมสูงจะเห็นรูปทรงของเหรียญที่ถูกแกะสลักลงบนพื้นทรายอย่างชัดเจน รายละเอียดของเหรียญยังคงคมชัดแม้เวลาจะผ่านมาหลายร้อยปีแล้วก็ตาม เนื่องจากได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดีจากชาวบ้านในพื้นที่

พิกัด https://maps.app.goo.gl/Sho9WwdGjrmbWTQE9

 

 

 

กดบันทึกคูปองและบทความไว้เพื่อทำให้การเดินทางไปญี่ปุ่นของคุณสะดวกสบายยิ่งขึ้น!

ถ้ากดบันทึกคูปองหรือบทความที่ชอบเอาไว้ ก็จะสามารถค้นหาได้อย่างง่ายดายจาก "My Page" ในระหว่างการเดินทาง ลองใช้กันดูนะ!

สมัครสมาชิก

ロンタ

บันทึกแล้ว!