ฮิกังบานะ ดอกไม้แห่งการมาเยือนแห่งฤดูใบไม้ร่วง

“ ฮิกังบานะ ” ดอกไม้สีแดงชาดที่มาพร้อมเรื่องเล่าเกี่ยวกับความตายของญี่ปุ่น ดอกไม้ชนิดนี้ไม่เพียงแต่สวยเท่านั้นแต่ยังแฝงพิษร้ายที่เป็นอันตรายเอาไว้ด้วย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารูปลักษณ์ของมันสวยงามเป็นอีกดอกไม้ที่น่าชม ทำไมดอกฮิกังบานะถึงขึ้นชื่อว่าเป็นดอกไม้แห่งความตาย ดอกไม้ชนิดนี้มีความหมายอื่นนอกจากนี้อีกไหม วันนี้เราเอามาเล่าให้ฟังกัน!
ลักษณะของดอกฮิกังบานะ

ดอกฮิกังบานะ (Higanbana) หรือที่รู้จักกันในชื่อภาษาอังกฤษว่า “Red Spider Lily” มีดอกสีแดงสด สีขาวและสีเหลือง รูปร่างของฮิกังบานะจะเป็นกลีบดอกเป็นริ้วเล็กๆ ยาวและบางโค้งงอเข้าด้านใน ทำให้ดอกดูฟูและเหมือนแมงมุมตัวใหญ่ๆ และมีก้านเกสรยาวพุ่งออกมาจากกลางดอก ลำต้นของดอกมีความสูงประมาณ 30-50 เซนติเมตร
สิ่งที่ทำให้ฮิกังบานะเป็นดอกไม้ที่น่าสนใจกว่าดอกไม้อื่นๆ ของญี่ปุ่น คือ ดอกและใบจะไม่งอกออกมาพร้อมกัน โดยในฤดูใบไม้ร่วงประมาณเดือนกันยายน จะเป็นช่วงที่ก้านดอกจะแทงขึ้นมาจากดินอย่างรวดเร็วและบานสะพรั่ง เมื่อดอกร่วงโรยไปแล้ว ใบสีเขียวเข้มจึงจะงอกขึ้นมาและอยู่ข้ามฤดูหนาวไปจนถึงฤดูใบไม้ผลิ
และทุกส่วนของต้นฮิกังบานะมีพิษ โดยเฉพาะที่หัวหรือราก ชาวญี่ปุ่นในอดีตมักจะปลูกดอกไม้ชนิดนี้ไว้ตามริมท้องนาเพื่อป้องกันไม่ให้หนูหรือสัตว์ต่างๆ มาทำลายพืชผล เป็นดอกไม้ที่สวยงามแต่แฝงไปด้วยอันตราย ดอกฮิกันบานะจะมีสารพิษที่เรียกว่า “แอลคาลอยด์” พบมากในส่วนหัว ถ้ากินเข้าไปจะทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง แต่หากโดนพิษมากๆ ก็อาการหนักถึงขั้นอัมพาต และเสียชีวิตได้ น่ากลัวสุดๆ เลย
ฮิกังบานะในความเชื่อและวัฒนธรรมญี่ปุ่น
ในวัฒนธรรมญี่ปุ่น “ดอกฮิกังบานะ” มีความหมายที่หลากหลายและมักถูกเชื่อมโยงกับเรื่องราวที่ลึกซึ้งมักเป็นตัวแทนของการจากลา การพลัดพราก และความทรงจำที่ไม่อาจลืม เพราะชื่อ “ฮิกังบานะ” มาจากคำว่า “ฮิกัง” ซึ่งหมายถึงช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านฤดูและยังสื่อถึง “โลกหลังความตาย” และยังเป็นดอกไม้ที่มีพิษและถูกปลูกตามสุสาน จึงได้อีกชื่อติดมาคือ “ดอกไม้แห่งความตาย” แต่ในอีกแง่หนึ่ง ดอกฮิกังบานะยังสื่อถึงความคลั่งไคล้ การเฝ้ารอการกลับมาพบกันใหม่ หรือการคิดถึงใครบางคนเพียงคนเดียว
เรื่องเล่าของฮิกังบานะ
ดอกฮิกังบานะ (Higanbana) มีเรื่องเล่าและตำนานมากมาย ส่วนใหญ่มักจะเกี่ยวข้องกับการจากลาและความตาย มีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งเล่าว่า ดอกไม้แต่ละชนิดจะมีเทวดาประจำอยู่ โดยมีเทวดาประจำดอกที่ชื่อว่า “มันจู” (Manju) และเทวดาประจำใบที่ชื่อว่า “ชาเกะ” (Shage) ทั้งสองทำหน้าที่ดูแลดอกและใบของฮิกังบานะ แต่ไม่เคยได้พบกันเลย เพราะเมื่อมีดอก ใบก็จะไม่อยู่ และเมื่อมีใบ ดอกก็จะไม่อยู่ ไม่ได้เจอกันสักที
ด้วยความสงสัยและอยากพบกันของเทวดาทั้งสอง มันจูและชาเกะจึงแอบฝืนกฎของสวรรค์มาพบกัน ทำให้เทพีอามาเทราสึ (Amaterasu) ซึ่งเป็นเทพีแห่งดวงอาทิตย์ไม่พอใจเป็นอย่างมาก พระองค์จึงสาปให้ทั้งสองแยกจากกันตลอดไป เป็นเหมือนคำสาปของดอกฮิกังบานะ ที่ว่า “ดอกไม้ที่ไม่เห็นดอกและใบพร้อมกัน” ทำให้ดอกไม้ชนิดนี้เป็นสัญลักษณ์ของการพลัดพรากและความรักที่ไม่มีทางสมหวัง
อีกหนึ่งความเรื่องเล่าของดอกฮิกังบานะที่รู้จักกันดีมาจากพระพุทธศาสนา เล่ากันว่าดอกฮิกังบานะจะบานสะพรั่งอยู่ริม แม่น้ำซันสึ (Sanzu River) ซึ่งเป็นแม่น้ำที่กั้นระหว่างโลกมนุษย์กับโลกหลังความตาย ดอกฮิกังบานะจะทำหน้าที่นำทางดวงวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตให้ข้ามไปยังอีกฝั่งเพื่อไปสู่การเกิดใหม่ ทำให้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “ดอกไม้แห่งโลกหลังความตาย”
เทศกาลฮิกัง (Higan)
คำว่า “ฮิกัง” (彼岸) มีความหมายตามพุทธศาสนาว่า “อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำ” ซึ่งหมายถึงโลกแห่งการตรัสรู้หรือโลกของนิพพาน ตรงข้ามกับ “ชิกัง” (此岸) ที่หมายถึง “ฟากนี้” หรือโลกที่เราอาศัยอยู่ ดังนั้นเทศกาลฮิกังจึงเป็นเทศกาลที่รำลึกถึงผู้ที่จากไปแล้ว
ในช่วงเทศกาลนี้ ชาวญี่ปุ่นจะถือโอกาสเดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อเยี่ยมเยียนและทำความสะอาดหลุมศพของบรรพบุรุษ มีการนำดอกไม้และขนมหวานที่เรียกว่า โอฮากิ (Ohagi) หรือ โบตาโมจิ (Botamochi) ซึ่งทำจากข้าวเหนียวห่อด้วยถั่วแดงกวนไปถวายที่วัดและเซ่นไหว้ที่หลุมศพ เพื่อแสดงความเคารพและระลึกถึงผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
“เทศกาลฮิกัง” เป็นเทศกาลทางศาสนาพุทธที่สำคัญของญี่ปุ่น จัดขึ้นปีละ 2 ครั้งในช่วงเปลี่ยนฤดู คือช่วงฤดูใบไม้ผลิ (Shunbun no Hi) จัดขึ้นประมาณวันที่ 21 มีนาคม ซึ่งตรงกับวันวสันตวิษุวัต หรือวันที่กลางวันและกลางคืนยาวเท่ากัน และช่วงฤดูใบไม้ร่วง (Shuubun no Hi) จัดขึ้นประมาณวันที่ 23 กันยายน ซึ่งตรงกับวันศารทวิษุวัต หรือวันที่กลางวันและกลางคืนยาวเท่ากันอีกครั้ง
สถานที่ชมฮิกังบานะ
ช่วงที่ดอกฮิกังบานะบานสะพรั่งเป็นพิเศษคือประมาณกลาง-ปลายเดือนกันยายน ซึ่งเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง สถานที่ในญี่ปุ่นที่ขึ้นชื่อว่าเป็นจุดชมดอกฮิกังบานะนั้น เช่น
สวนคิวชิบะริคิว (Kyu Shiba Rikyu Garden) โตเกียว

สวนคิวชิบะริคิว (Kyu Shiba Rikyu Garden) เป็นสวนสไตล์ญี่ปุ่นที่เก่าแก่และสวยงาม ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโตเกียว และยังเป็นหนึ่งในไม่กี่แห่งที่หลงเหลือมาจากยุคเอโดะ สวนนี้เน้นการเดินชมทิวทัศน์รอบสระน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นบ่อน้ำทะเลมาก่อน สวนแห่งนี้ได้รับการออกแบบอย่างประณีตด้วยการจำลองภูมิทัศน์ของภูเขา ทะเล และแม่น้ำ สวนแห่งนี้มีดอกไม้ให้ชมตลอดทั้งปี เช่น ดอกซากุระในช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายน และดอกฟูจิในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม และดอกฮิกังบานะในช่วงเดือนกันยายน สามารถเดินจากสถานี Hamamatsucho ของรถไฟสาย JR Yamanote และ Keihin Tohoku โดยใช้เวลาเพียง 1 นาที หรือเดินจากสถานี Daimon ของรถไฟใต้ดินสาย Toei Asakusa และ Toei Oedo ใช้เวลาประมาณ 5 นาที
สวนสาธารณะคินชาคุดะ (Kinchakuda Park) จังหวัดไซตามะ

สวนสาธารณะคินชาคุดะ (Kinchakuda Park) ตั้งอยู่ในเมืองฮิดากะ จังหวัดไซตามะ ได้ชื่อว่าเป็นจุดชมดอกฮิกังบานะที่ใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่นมีดอกฮิกังบานะสีแดงสดกว่า 5 ล้านต้นบานสะพรั่งอยู่ใต้ป่าต้นไม้ขนาดใหญ่ ทำให้ดูราวกับพรมแดงผืนยักษ์ เป็นภาพที่น่าอัศจรรย์สุดๆ ช่วงเวลาที่เหมาะกับการชมดอกฮิกังบานะที่นี่คือช่วงกลางเดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคมสามารถเดินทางด้วยรถไฟเส้น Seibu Ikebukuro ไปยังสถานี Koma แล้วเดินต่ออีกประมาณ 15 นาทีก็จะถึงสวน ใครที่เอารถยนต์ส่วนตัวไปก็มีที่จอดรถให้บริการ แต่ควรตรวจสอบสภาพการจราจรล่วงหน้า โดยเฉพาะช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่อาจมีผู้คนจำนวนมากเดินทางมาชมดอกไม้
สวนสาธารณะกองเก็นโด (Gongendo Park) จังหวัดไซตามะ

สวนสาธารณะกองเก็นโด (Gongendo Park) ในเมืองซัตเตะ จังหวัดไซตามะ เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในการชมดอกไม้ตลอดทั้งปี และเป็นจุดชมดอกฮิกังบานะที่ใหญ่เป็นอันดับสองในจังหวัดไซตามะ รองจากสวนคินชาคุดะ ในช่วงฤดูกาลชมดอกฮิกังบานะจะมีดอกไม้กว่า 3 ล้านต้นบานเรียงรายไปตามทางเดินที่ทอดยาวกว่า 1 กิโลเมตร นอกจากดอกฮิกังบานะแล้วที่นี่ยังเป็นจุดชมดอกซากุระที่สวยงามในฤดูใบไม้ผลิอีกด้วย ดอกฮิกังบานะจะบานในช่วงปลายเดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคม และจะจัดเทศกาล “Satte Higanbana Festival” ในช่วงเวลานี้ ซึ่งจะมีร้านค้าขายอาหารและกิจกรรมต่างๆ จัดขึ้นที่นี่ การเดินทางไปยังสวนสาธารณะกองเก็นโด คือโดยสารรถไฟบนสาย Tobu Nikko Line ลงสถานี Satte สามารถนั่งรถบัส Asahi Bus ที่มุ่งหน้าไปยัง “Goka-machi Yakuba” และลงที่ป้าย “Gongendo” หรือจะเดินจากสถานีชมวิวไปเรื่อยๆ ก็ได้ใช้เวลาประมาณ 30 นาที
ริมแม่น้ำยาคาจิกาวะ (Yakachigawa River) จังหวัดไอจิ

ริมแม่น้ำยาคาจิกาวะ (Yakachigawa River) ในเมืองฮันดะ จังหวัดไอจิ เป็นหนึ่งในจุดชมดอกฮิกังบานะที่งดงามและมีชื่อเสียงในญี่ปุ่น โดยมีดอกไม้สีแดงสดกว่า 3 ล้านต้น บานสะพรั่งเป็นแนวยาวกว่า 2 กิโลเมตร ในช่วงที่ดอกไม้บานจะมีการจัดเทศกาล “Gon-no-Aki Matsuri” ซึ่งเป็นงานที่ผู้คนจะมารวมตัวกันเพื่อชมความงามของดอกไม้ ดอกฮิกังบานะมักจะบานในช่วงปลายเดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคม
การเดินทางไปริมแม่น้ำยาคาจิกาวะ คือ จากสถานีรถไฟนาโกย่า สามารถขึ้นรถไฟสาย Meitetsu ไปลงที่สถานี Agui แล้วเปลี่ยนรถไฟเป็นสาย Meitetsu Kowa ลงที่สถานี Handa-guchi จากนั้นเดินประมาณ 20 นาทีก็จะถึงบริเวณริมแม่น้ำ
นาขั้นบันไดสึสึระ (Tsutsura Rice Terraces) จังหวัดฟุกุโอกะ

นาขั้นบันไดสึสึระ (Tsutsura Rice Terraces) เป็นหนึ่งในจุดชมดอกฮิกังบานะที่มีชื่อเสียงในจังหวัดฟุกุโอกะ ตั้งอยู่ในเมืองอุคิฮะ ที่นี่ไม่ได้มีแค่ดอกไม้ แต่ยังโดดเด่นด้วยทัศนียภาพของนาขั้นบันไดที่ทอดยาวไปตามเนินเขา ทำให้เกิดภาพที่สวยงามและแตกต่างจากจุดชมดอกฮิกังบานะที่อื่นหากต้องการชมวิวที่แตกต่าง มาที่นี่รับรองเลยว่าจะได้ภาพที่สวยงามและแปลกตาไม่เหมือนที่อื่น ที่นี่เป็นจุดชมดอกไม้ที่ไม่พลุกพล่านเท่าที่อื่นๆ ทำให้คุณสามารถเพลิดเพลินกับความงามของธรรมชาติได้อย่างเต็มที่
ดอกฮิกังบานะจะบานในช่วงปลายเดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ทุ่งนาจะมีสีเขียวสดใส และดอกฮิกังบานะก็จะเริ่มบานเป็นจุดๆ ไปตามคันนา การเดินทางไปนาขั้นบันไดสึสึระค่อนข้างสะดวก แต่การมีรถยนต์ส่วนตัวจะทำให้การเดินทางง่ายที่สุดใช้เวลาขับรถจากตัวเมืองฟุกุโอกะประมาณ 1 ชั่วโมง โดยสามารถปักหมุดที่ “Tsutsura Rice Terraces” บน Google Maps ได้เลยหรือโดยรถไฟก็สามารถนั่งรถไฟสาย JR Kyudai ไปลงที่สถานี Harada หรือ Ukiha แล้วต่อแท็กซี่ไปที่นาขั้นบันได
ข้อแนะนำเพิ่มเติม
- ช่วงเวลาที่ดอกไม้บานอาจคลาดเคลื่อนได้เล็กน้อยในแต่ละปี ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ควรตรวจสอบข้อมูลล่าสุดจากเว็บไซต์ทางการของสถานที่นั้นๆ ก่อนเดินทาง
- หลีกเลี่ยงช่วงสุดสัปดาห์หากไม่ชอบคนเยอะ ควรไปเที่ยวในช่วงวันธรรมดา เพราะจุดชมดอกไม้เหล่านี้จะได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์
สรุป
อ่านมาถึงตรงนี้คงรู้แล้วว่าฮิกังบานะไม่เพียงแค่เป็นดอกไม้หลังความตายเท่านั้นแต่ยังมีความหมายเกี่ยวพันถึงการลาจาก การรำลึกถึงคนที่รักที่ได้จากไปด้วย นอกจากความหมายที่ลึกซึ้งแล้วดอกฮิกังบานะมีวงจรชีวิตที่น่าสนใจและมีความสวยงามอย่างปฏิเสธไม่ได้ ใครที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นช่วงเดือนกันยายนลองเช็กว่าดอกฮิกังบานะบานอวดโฉมหรือยัง เผื่อได้เดินทางไปสัมผัสกับความงามอันน่าพิศวงนี้ด้วยตาตัวเอง