แนะนำ โรงแรมที่พัก โตเกียว ญี่ปุ่น อัพเดตล่าสุด

แจกแพลน ตะลอนเที่ยวที่ฮิตไซตามะแบบ 2 วัน 1 คืน ง่ายๆจากโตเกียว ไปตามได้เลย


ไซตามะ(Saitama)เป็นจังหวัดมากเสน่ห์ที่อยู่ติดกับโตเกียวทางตอนเหนือ เดินทางได้ง่ายๆไม่ถึงชั่วโมงก็เริ่มเข้าถึงโซนท่องเที่ยวแล้ว เป็นจังหวัดที่มีชื่อเสียงหลายด้าน โดยเฉพาะผลผลิตทางการเกษตร ย่านเมืองเก่า ทุ่งดอกชิบะซากุระ และขนมอาหารต่างๆมากมาย ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเที่ยว ชิม ช้อปได้ครบหมดทุกไฮไลท์ จึงน่าเสียดายถ้าเราจะไปเที่ยวแค่แบบเช้าไปเย็นกลับที่หลายๆคนนิยมกันเท่านั้น ในบทความนี้เราเลยจะนำเสนอแพลนเที่ยวแบบค้างซักหนึ่งคืนไว้เป็นไอเดียให้กับเพื่อนๆกัน

แพลนเที่ยวไซตามะแบบ 2 วัน 1 คืน คร่าวๆของเราคือ วันแรก ออกจากโตเกียว สถานีอิเคบุคุโระ(Ikebukuro) ไปที่จิจิบุ(Chichibu)เมืองในหุบเขา เพื่อเที่ยวสวนดอกไม้ เก็บสตรอว์เบอรี่ ซื้อของฝากที่ผลิตจากวัตถุดิบชั้นดีในท้องถิ่น แล้วไปค้างคืนที่คาวาโกเอะ(Kawagoe)หรือเอโดน้อยแห่งไซตามะ(Little Edo) พอวันที่สองเราก็เที่ยวคาวาโกเอะกันแบบเจาะลึกเต็มวันให้หนำใจ แล้วค่อยกลับโตเกียวกัน

สำหรับรายละเอียดของแต่ละสถานที่ สามารถที่ลิงค์ไปอ่านต่อกันได้เลยนะครับ เพราะถ้าลงรายละเอียดทุกอัน บทความนี้จะยาวมโหฬารมาก

และที่ด้านล่างสุดจะมีลิงค์รวมของยอดฮิตต่างๆของไซตามะ อย่าลืมเลื่อนลงไปเช็คดูกันด้วยนะครับ

 

วันแรก

Photo from www.seiburailway.jp

เริ่มต้นตอนเช้า ออกเดินทางจากเมืองโตเกียวเข้าสู่เมืองจิจิบุ(Chichibu) จังหวัดไซตามะ โดยเราจะไปจากสถานี Ikebukuro ให้ออกที่ทางออก East exit แล้วไปที่สถานีรถไฟ Seibu ซื้อพาส Seibu 2 days pass ค่าพาสราคา 2,000 เยนเพื่อความสะดวกในการใช้งาน ซื้อครั้งเดียวใช้ได้ยาวๆจนจบ 2 วันเลย แล้วก็พ่วงการซื้อตั๋วรถด่วน Limited express เพิ่มอีก 700 เยนต่อรอบ อีก 1 ใบ เพื่อประหยัดเวลาในการเดินทาง ไม่ต้องเปลี่ยน รถให้วุ่นวาย และมีที่นั่งสบายๆแน่นอน ซึ่งสายรถแบบ Limited Express นี้จะมีหลายเวลาให้เลือก ประมาณชั่วโมงละ 2-3 ขบวนให้เช็คเวลาให้ดีก่อนจะได้ไม่ต้องไปรอนานครับ

วันแรกนี้แนะนำให้ออกกันแต่เช้าเลยจะได้มีเวลาเที่ยวเยอะๆ เช่น รอบ 7.30 จะใช้เวลาประมาณ 83 นาที ก็ไปถึงสถานี Seibu-Chichibu ก็น่าจะช่วงเวลาประมาณ 9 โมงเช้า เราก็จะได้ไปเที่ยวกันก่อนซัก 1 แห่งก่อน ซึ่งเราแนะนำให้ไปเที่ยวสวนฮิสึจิยามะ ชมทุ่งดอกพิ้งค์มอส สีชมพูสดใสกันก่อน แนะนำให้ไปตอนเช้าคนจะได้ยังไม่แน่นมาก มีมุมพอให้ถ่ายรูปไปเรื่อยๆได้อย่างจุใจ

จากนั้นถ้าใกล้เที่ยงก็เลือกได้ว่าจะทานข้าวหรือขนมแถวๆสวนซึ่งมีจัดเป็นโซนขายของกินของฝากด้วย หรือไม่ก็เดินกลับมาที่สถานีรถไฟเพื่อทานข้าวเที่ยงกัน ซึ่งที่นี่จะมีร้านอาหารขึ้นชื่อของเมืองจิจิบุมาเปิดให้ชิมกันอยู่ 4-5 ร้าน มีเมนูดังเป็นหมูหมักมิโซะ มีทั้งแบบ ย่างและทอด ราดข้าว หอมอร่อย เป็นมิโซะรสชาติดีแต่เนื้อหมูธรรมดาไปหน่อย

แนะนำว่าของฝากอย่าเพิ่งซื้อตอนนี้ เพราะเราจะไปเที่ยวกันก่อนแล้ว เดี่ยวค่อยกลับมาใหม่ แล้วค่อยซื้อกันตอนนั้นจะดีกว่านะครับ จะได้ไม่ต้องแบกกัน

 

เมื่อทานข้าวเที่ยงเสร็จแล้ว เป้าหมายต่อไปของเราก็คือ การนั่งรถบัสไปเก็บและทานสตรอว์เบอรี่สดๆจากฟาร์มกันต่อ ซึ่งฟาร์มที่เราจะไปนี้เป็นฟาร์มสตรอว์เบอรี่ที่ได้รับรางวัลกรังปรีอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นด้วย ปลูกด้วยความพิถีพิถัน แบบออแกนิค คอยควบคุมทุกอย่าง เพื่อให้ได้สตรอว์เบอรี่ที่ดีที่สุด ทำให้มีความสด สะอาด หวาน กรอบ ลูกโต สีแดงสด เด็ดจากต้นแล้วกินได้เลย อร่อยมาก ซึ่งแต่ละช่วงเวลาของปีก็จะมีผลไม้และกิจกรรมแตกต่างกันไป ฟาร์มนี้มีชื่อว่า Komatsuzawa

 

 

เที่ยวเสร็จแล้วกลับมาที่สถานีอีกครั้งช่วงบ่ายๆ แวะซื้อของฝากที่ Matsuri no yu ซึ่งเป็นศูนย์อาหาร ร้านขายของฝากท้องถิ่นและบริการออนเซนติดอยู่กับสถานี Seibu Chichibu เลย

เมื่อซื้อของฝากเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เตรียมต่อรถไฟไปกันต่อที่สถานี Hon-Kawagoe กันเลย ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งก็ถึง ซึ่งเราเลือกมาที่สถานี Hon-Kawawgoe เพราะใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวหลักๆของเมืองคาวาโกเอะมากกว่า แถมยังมีถนนให้เดินเล่น ช้อปปิ้ง ทานข้าวอีก ออกจาก Chichibu ซัก 4 โมงเย็นก็น่าจะมาถึงคาวาโกเอะไม่เกิน 6 โมง

คืนนี้เราเลือกนอนกันที่โรงแรม Prince Hotel ในเครือเซบุ เพราะอยู่ติดกับสถานี Hon-Kawagoe เลย มีสิ่งอำนวยความสะดวก ครบซะยิ่งกว่าครบ พอไปถึงก็แวะ check-in เก็บของ ล้างหน้าล้างตาซักหน่อย ก่อนจะออกไปเดินเล่น ช้อปปิ้ง หาอะไรกินกันต่อ ซึ่งมีร้านอาหารปิ้งย่างสไตล์ Yakitori ชื่อดังตั้งอยู่ตรงข้ามกับสถานีด้วย ถ้าโชคดีเราก็จะไม่ต้องรอคิวกัน 5555

ถ้าใครทานแล้วติดลม ที่นี่เขามีสาเกและเบียท้องถิ่นของไซตามะให้ชิมด้วย ซึ่งบอกเลยว่ารสชาติโอเคม๊ากมากก โดยเฉพาะสาเก มันช่างห๊อมหอม ดื่มเพลินซะเหลือเกิน แต่ถ้าใครไม่ใช่สายนี้ ก็สามารถออกไปเดินเล่นต่อได้บริเวณนี้ซึ่งเป็นย่านดาวน์ทาวน์ของเมือง มีถนนคนเดินสำหรับช้อปปิ้งอยู่ หรือไม่ก็ห้าง Pepe ที่อยู่ตรงสถานี Hon-Kawagoe เลยก็มีของขายหลายอย่าง เช่น ร้านอาหาร และขนมท้องถิ่น ร้าน Muji ร้าน GU เป็นต้น

 

 

ตื่นเช้ามาไม่ต้องรีบมากเพราะรีบไปร้านก็ยังไม่เปิด 555 เริ่มจากการไปทานอาหารเช้าที่มีตัวเลือกเยอะแยะของโรงแรมนี้กันก่อน จากนั้นก็ตรงดิ่งไปย่านเมืองเก่าโซนท่องเที่ยวหลักของเมืองคาวาโกเอะกัน แต่จุดแรกที่เราอยากแนะนำ เป็นสถานที่ใหม่ที่เพิ่งเปิดไม่นานและฮอตฮิตมาก นั่นก็คือ สตาร์บัค นั่นเอง ซี่งที่นี่นอกจากจะออกแบบตกแต่งให้เข้ากับเมืองแล้ว ด้านในยังมีสวนญี่ปุ่นให้นั่งชมกันด้วย ควรไปถึงซัก 9-10 โมงเช้าน่าจะกำลังดี คนน้อยๆ กินกาแฟถ่ายรูปไรกันเสร็จค่อยออกเดินเที่ยวกันต่อ เพราะร้านส่วนใหญ่จะเปิดกัน 10-11 โมงเช้า

 

จากนั้นก็เดินเที่ยวเล่น ถ่ายรูปบริเวณนี้ซักหน่อย แล้วก็เดินยาวๆไปถึงศาลเจ้าฮิคาวะ(Kawagoe Hikawa)ซึ่งนอกจากจะมีชื่อเสียงด้านการขอพรเรื่องความรักแล้ว ยังมีถ่ายรูปฮิปๆให้เราแวะเช็คอินได้หลายจุดเลยทีเดียวนะ เรียกว่าเป็นไฮไลท์ห้ามพลาดแห่งหนึ่งของคาวาโกเอะเลยทีเดียว

 

 

หลังจากนั้นก็น่าจะเที่ยงแล้ว เราขอแนะนำ 2 ร้านเด่นดังและเด็ด ให้เลือก ที่ถ้าได้ฟังชื่อเมนู อาจจะแบ๊ะปาก แล้วบอกว่า มันจะไหวเร้อออ เหมือนกับที่ทีมงานได้ชิมกันมา แต่พอได้กินเท่านั้นแหล่ะ ถึงบางอ้อเลย มิน่ามันดัง มิน่าคนมาต่อคิวกัน ก็จะแนะนำให้รีบไปก่อนเที่ยง หรือก่อน 11.30 จะได้ไม่ต้องรอนานนะ ส่วนร้านอาหาร 2 ร้านที่เราจะแนะนำ

เริ่มจากร้านแรกเป็นร้านขายอาหารชุดแบบญี่ปุ่นที่เน้นที่มันหวาน ของขึ้นชื่อของคาวาโกเอะ ซึ่งจะเซิฟมาเซ็ต มีข้าว มีซุป มีนู่นนี่นั่นให้ทาน ซึ่งอร่อยทุกอย่าง ไล่ตั้งแต่เครื่องดื่มยันขนมหวานเลย เช่นในเซ็ตจะมีเครืองดื่มให้เลือกเป็นสาเกมันหวานกับชาเขียวมันหวาน ซึ่งทั้ง 2 อย่าง ให้กลิ่นหอมของมันหวานเข้มข้นมากๆ รสชาติดี อูมามิสุดๆ ถัดมาก็เป็นน้ำซุปมันหวาน หอม เข้มข้น รสชาติอะไรมันลงตัวพอดีไปหมด ร้านนี้ชื่อว่า Cafe Torokko ซึ่งตั้งอยู่ภายในอาคารเก่าสุดคลาสสิคหลังหนึ่งใจกลางย่านเมืองเก่าของคาวาโกเอะเลยครับ

อ้อ ผมลืมบอกไป เผื่อคนที่ยังไม่รู้ คือว่าที่เมืองคาวาโกเอะเนี่ย เขาดังเรื่องมันหวานมาก เพราะสมัยก่อนแถวนี้ปลูกกันเยอะแล้วก็ส่งเข้าไปตามเมืองใหญ่ต่างๆ เช่น โตเกียว ก็ทำกันเรื่อยมาจนดังมาถึงปัจจุบันนี้ ถ้าใครเคยไปเที่ยวมาแล้ว จะเห็นเลยว่าขนมสารพัดสิ่งอย่างมากมายของเมืองนี้นั้นเน้นทำมาจากมันหวานทั้งสิ้น ซึ่งก็หอมอร่อยสมชื่อเค้าล่ะ

มาต่อร้านอาหารที่ 2 ของเรากันต่อ ร้านที่สองมีเมนูขึ้นชื่อคือ ข้าวแม่ลูก หรือ ข้าวหน้าไก่กับไข่ ซึ่งที่ดังที่สุดก็คือเมนูไข่ของเขานั่นเอง พูดแล้วจะหาว่าอวย เพราะตอนเรารู้ครั้งแรก ก็คิดเหมือนกันว่า มันจะไปอร่อยซะขนาดไหนกันเชียว ก็ต้องบอกว่าต้องไปโดนเองถึงจะเข้าใจ คือ ไข่ของร้านนี้มันนุ่มละมุน ไร้ซึ่งความคาว รสชาติก็ดีมาก ยิ่งตัวข้าวไก่กับไข่นี้คือแบบ งงว่าเมนูแสนธรรมดานี้ มันทำให้อร่อยขนาดนี้ได้ด้วยหรอ(วะ) 555 ร้านนี้มีชื่อว่า Koedo Ohana แล้วก็ถ้าใครไม่มีเวลาต่อคิวจะลองซื้อแบบขนมกินง่ายๆ มีขายที่ชั้นหนึ่งในห้าง Pepe ที่อยู่ติดกับสถานี Hon-Kawagoe ด้วยนะ แต่สาขานั้นจะมีไม่มีขายแบบข้าว

ถ้าถามว่าเลือกได้ร้านเดียวเอาร้านไหนดี ก็ต้องถามกลับว่าอยากได้ฟีลแบบไหน ญี่ปุ่นแบบผู้ดีหน่อย นั่งเงียบหน่อย ไม่วุ่นวายมาก สั่งทีเดียวจบ ไปร้านอาหารชุดเลย แต่ถ้าแบบอินดี้ๆ ร้านเล็กๆ เบียดๆ คนเยอะๆ ดูมีชีวิตชีวามากกว่าไปร้านข้าวหน้าไก่ซะ ส่วนทีมงานเราก็คงจะแวะไปทานร้านข้าวหน้าไก่แล้วค่อนไปซื้อสาเกมันหวานไปทานกันต่อที่โรงแรม 5555

จนซักทีกับเรื่องข้าวเที่ยง ว่าจะเขียนสั้นๆ ทำไปทำมายาวเหยียดเลย เข้าเรื่องกันต่อ สถานที่เที่ยวถัดมาที่น่าไปคือวัดคิตะ-อิน แล้วก็ถนนที่มีธงปลาคาร์ฟ

อ้อถ้าใครชอบทานข้าวหน้าปลาไหล ที่เมืองคาวาโกเอะก็ดังนะ มีหลายร้านที่เปิดมานานเกือบ 200 ปีเลย จะแวะไปทานเป็นมื้อเย็นก่อนกลับโตเกียวก็ได้เหมือนกัน

 

มากลับเข้าแพลนเที่ยวของเรากันต่อเถอะ หลังจากทานข้าวเที่ยงแล้วเรายังเหลืออีก 2-3 จุดของเมืองคาวาโกเอะที่เราอยากแนะนำให้ไป ก็คือ ถนนคนเดินอีกเส้นที่ขนานอยู่กับถนนเส้นหลัก พิกัด, วัดคิตะอิน และตรอกลูกกวาด ซึ่งทั้งหมดนั้นก็อยู่เชื่อมต่อกับย่านเมืองเก่าของคาวาโกเอะทั้งหมด กว่าจะเดินกันครบ คิดว่าน่าจะเย็นพอดี ก็เดินกลับไปที่สถานีรถไฟ Hon-Kawagoe เพื่อนั่งรถไฟของ Seibu เที่ยวสุดท้ายที่เราจะใช้ Seibu pass ไปลงที่สถานี Seibu-Shinjuku ของโตเกียว

ก็เป็นอันว่าจบครบแพลนเที่ยวไซตามะ 2 วัน 1 คืนของเราอย่างเต็มอิ่มมมมมม

 

 

รวมลิงค์น่าสนใจที่ควรไม่พลาดของไซตามะ