แนะนำ โรงแรมที่พัก โตเกียว ญี่ปุ่น อัพเดตล่าสุด

แจกแพลนเที่ยวฟรี โตเกียว 4 วัน 3 คืน พร้อมลุ้นไอโฟนฟรี อัปเดทล่าสุดหลังโควิท 2022

4-days-3-nights-tokyo-after-covid

บทความนี้เป็น Advertorial Content เนื้อหา ข้อมูล และรูปภาพทั้งหมดมาจากผู้สนับสนุน เว็บไซต์นี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือรับผิดชอบใดๆ

อัพเดตล่าสุดเมื่อ 2 ธันวาคม 2565

 

ประเทศญี่ปุ่นปิดประเทศไปนาน เกือบ 3 ปีในที่สุดก็ เปิดรับนักท่องเที่ยวให้เดินทางอย่างอิสระได้อีกครั้ง สำหรับมือใหม่ที่ยังไม่เคยไปญี่ปุ่นมาก่อน การเดินทางไปเที่ยวเมืองหลวงอย่างโตเกียวก็เป็นความคิดที่ดีไม่น้อย เพราะโตเกียว(Tokyo) เป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่นที่ติดอันดับจุดหมายปลายทางยอดฮิตของเหล่านักท่องเที่ยวทั่วทั้งสารทิศ จากความที่มีทั้งความเจริญทันสมัยเต็มไปด้วยเทคโนโลยีต่างๆ หากก็เต็มเปี่ยมด้วยกลิ่นอายวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว อาหารการกินรวมไปถึงวิถีชีวิตที่อาจดูเร่งรีบต้องแข่งกับเวลา แต่ก็แฝงไปด้วยเสน่ห์เฉพาะตัวที่ไม่สามารถสัมผัสได้จากที่อื่นนอกจากที่โตเกียวเท่านั้น

ถึงแม้ว่าระยะเวลาเพียง 4 วัน 3 คืนอาจจะดูน้อยเกินไปสำหรับหลายๆคน แต่ก็ไม่ต้องกังวล เพราะเราได้คัดเอาสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์เด็ดๆสุดฮิตมารวมกัน เพื่อให้คุณได้ใช้เวลาท่องเที่ยวที่มีอยู่อย่างจำกัดคุ้มค่ามากที่สุด ได้สัมผัสกับความเป็นโตเกียว และความเป็นญี่ปุ่นไปพร้อมๆกันเลย ที่สำคัญแพลนเที่ยวอันนี้เราเน้นแบบชิลๆ ไม่อัดมาก เพราะคนที่มาครั้งแรกเราอยากแนะนำให้ค่อยๆเดิน ค่อยๆดู สิ่งต่างๆของญี่ปุ่นแล้วจะเห็นว่าในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของเค้าช่างมีความพิถีพิถันซ่อนอยู่ ให้เราได้กลับมาพูดคุยแลกเปลี่ยนกับคนอื่นๆได้สนุกสนานมากยิ่งขึ้น บางทีการแค่ได้ออกไปเดินเล่นในบ้านเมือง ถนนหนทางที่เราไม่เคยไปโดยไม่คาดหวังอะไรมาก ก็อาจจะทำให้เราได้ประสบการณ์แปลกใหม่ที่มากกว่าก็ได้

 

 

วันแรก

หน้าประตูทางเข้าวัดอาซากุซะ

หน้าประตูทางเข้าวัดอาซากุซะ

หลังจากเช็คอินที่โรงแรมแล้วเราจะประเดิมวันแรกด้วยแหล่งท่องเที่ยวที่ต้องมาเช็กอิน เมื่อมาเยือนยังโตเกียวอย่าง วัดอาซากุสะ หรืออีกชื่อที่รู้จัดกันในนามวันเซนโซจิ จุดที่ไม่ว่าใครมาก็ต้องถ่ายรูปนั่นก็คือโคมแดงไซส์ยักษ์ตรงทางเข้าวัดที่เห็นปุ๊บรู้ปั๊บว่าเป็นวัดดังแห่งนี้แน่นอน นอกจากจะมาไหว้พระขอพระให้เป็นสิริมงคลกับชีวิตแล้ว ยังสามารถเดินทางของทานขนมพร้อมช็อปปิ้งเบาๆที่บริเวณถนนนากามิเสะได้อีกด้วย การเดินทางก็ง่ายมาก จากสถานีรถไฟอาซากุสะเดินเท้าต่ออีกไม่เกิน 5 นาที

ช่วงบ่ายๆมายังโตเกียวสกายทรีทาวน์ที่มีสุมิดะอควาเรียม ตั้งอยู่บนชั้นชั้น 5 และ 6 อลังการได้ด้วยการจัดแสดงโลกสัตว์น้ำที่เต็มไปด้วยสัตว์น้ำนานาชนิด อีกทั้งยังมีเพนกวินและแมวน้ำสุดน่ารักที่อยู่ในส่วนโซนอินดอร์ โอเพ่นพูลที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นให้ได้เห็นกันแบบใกล้ชิด ไม่เพียงเท่านั้นยังมีโปเกมอนเซ็นเตอร์ ที่เอาใจเหล่าสาวกโปเกมอนด้วยสินค้าออริจินัลและลิมิเตตอีกมากมายที่หาซื้อได้ที่นี่เท่านั้น ยังไม่หมดหลังเดินชมนั่นนี่จนเพลินยังสามารถขึ้นไปชมวิวที่จะสวยที่สุดช่วงกลางคืน สามารถเห็นทั้งวิวทิวทัศน์ทั้งเมืองโตเกียว เผลอๆในช่วงกลางวันท้องฟ้าเปิดอาจได้เห็นภูเขาไฟฟูจิอันเลื่องชื่อได้จากจุดนี้อีกต่างหาก การเดินทางมาก็ง่ายๆแค่ลงที่สถานีรถไฟโตเกียวสกายทรีเดิน 5 นาทีถึง เรียกว่า มาที่เดียวครบจบอยู่ได้จนดึกเลย

 

 

 

วันที่ 2

ถ้าใครอยากจะชิมอาหารทะเลแบบสดๆหิ้วท้องมาที่ ตลาดปลาสึกิจิ ที่ขึ้นชื่อว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นและยังติดอันดับท้อปของโลก ยิ่งมาเช้าๆก็จะได้เห็นบรรยากาศการค้าขายที่เต็มไปด้วยสีสัน ส่วนด้านนอกที่มีร้านอาหารทะเลแบบสดๆทั้งปลา ปู หอย ปลาหมึก และอื่นๆอีกเพียบ มีมาให้เลือกชิมกันหลากหลายร้าน แถมยังราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับที่ขายทั่วๆไป โดยส่วนนี้เริ่มเปิดตั้งแต่ตี 5 จนถึงช่วงบ่ายๆก็เริ่มปิดกันแล้ว การเดินทางรถไฟใต้ดินจะสะดวกสุดลงที่สถานีซึกิจิเดินประมาณ 5 นาที หมายเหตุการประมูลปลาได้ย้ายออกไปแล้ว แต่ก็ยังมีโซนตลาดสดและโซนร้านอาหารอยู่

เปลี่ยนบรรยากาศมาเที่ยวแนวประวัติศาสตร์บ้างที่พระราชวังอิมพีเรียลหรือที่หลายๆคนรู้จักกันในชื่อ ปราสาทเอโดะ ซึ่งที่มีมีประวัติศาสตร์นานนับพันปีจากเป็นที่พำนักอาศัยของโชกุนและบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น แม้ว่าภายในพระราชวังจะเข้าชมยากเพราะต้องจองล่วงหน้านานหลายเดือน แต่บริเวณรอบๆยังมีสวนอันร่มรื่นให้เดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจ ชมบรรยากาศและสถาปัตยกรรมได้ด้วย การเดินทางเดินจากสถานีโตเกียวประมาณ 15 นาที จากจุดนี้สามารถเดินไปย่านมารุโนะอุจิได้ภายในเวลา 15 นาที โดยนอกจากจะเป็นย่านการค้าทีมีร้านค้า คาเฟ่ที่น่าเดิน ยังสามารถขึ้นรถโตเกียวสกายบัสเที่ยวชมบริเวณรอบๆที่ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

 

 

วันที่ 3

https://artsticker.app/events/625

เริ่มต้นวันด้วยการไปเสพย์งานศิลป์ที่แกลลอรี่เปิดใหม่ ซมโปะ มิวเซียม (Sompo Museum of Art) หรือ พิพิธภัณท์ศิลปะโดย ซมโปะ บริษัทด้านประกันภัยยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นที่หลายๆคนคุ้นเคย ที่เพิ่งมีการจัดแกลลอรี่ใหม่ สวย เฉียบ อยู่ข้างๆกับอาคาร Office หลักที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ใกล้กับสถานีรถไฟชินจูกุเลย ภายในมีจัดแสดงผลงานศิลปะ ทั้งแบบนิทรรศกาลหมุนเวียน และแบบถาวร หากเพื่อนๆ อยากให้ทริปของคุณพิเศษกว่าครั้งไหนๆ อยากชวนให้แวะไปชมภาพวาดระดับโลกของแวนโก๊ะ (Van Gogh) ที่มีเพียงแค่ 5 ภาพบนโลก

นั่นก็คือภาพ Sunflowers จาก Vincent van Gogh ซึ่งตอนนี้มีแคมเปญพิเศษจากทาง ซมโปะ ประกันภัยสำหรับเพื่อนๆ ที่มาเที่ยวชม ซมโปะ มิวเซียม สามารถเข้าร่วมกิจกรรมภาพถ่ายสุดปังที่ ซมโปะ มิวเซียม เพื่อลุ้นรับ iPhone 14 Pro ได้แล้ววันนี้ – 12 มีนาคม 2566

เข้าร่วมแคมเปญง่ายๆ เพียงแชร์ภาพความประทับใจ พร้อมถ่ายรูปคุณบริเวณด้านหน้า Sompo Museum of Art ลงในคอมเมนต์ใต้โพสต์ พร้อมติด แฮชแท็ก #SompoMuseum #SompoThailand เพื่อนๆ คนไหนสนใจเข้าไปร่วมกิจกรรมได้เลยที่ SompoThailand เรียกได้ว่าถ้าชอบแนวนี้แถมมีโอกาสได้ iPhone 14 Pro อีกก็ห้ามพลาดเลย

 

Photo: Nick Gray [CC BY-sa 2.0] from flickr.com/photos/nickgray/4534715504

หลังจากเสพย์งานศิลป์แล้ว ก็ต่อด้วยการไปเดินช็อปปิ้งย่านดังอย่างฮาราจุกุ ที่มีร้านค้าทั้งสินค้าแฟชั่น ของกระจุกกระจิก รวมไปถึงร้านเครปที่เดินไปทางไหนก็เจอที่แต่ละร้านมีเด็ดแตกต่างกันไป ถ้าเดินจนเต็มอิ่มแล้วอยากหาสถานที่สงบๆพร้อมชมความงามที่แฝงไปด้วยกลิ่นอายความศักด์สิทธิ์ก็เดินมาอีกนิด จะถึงศาลเจ้าเมจิ จิงงู เพราะทั้งสองที่อยู่ไม่ไกลกันมากจากสถานีรถไฟฮาราจุกุเดินเท้าซักไม่เกิน 10 นาทีก็ถึงแล้ว ถ้ายังมีเวลาเหลือๆเดินมาอีก 20 นาทีจากย่านฮาราจุกุมายังโอโมเตะซันโดฮิลส์ GYRE และคิตตตี้แลนด์ ที่ตลอดสองฝั่งทางจะเรียงรายได้ด้วยต้นไม้ที่มีความงามต่างกันไปทุกฤดูกาล

Photo: ElHeineken [CC BY-sa 2.0] from commons.wikimedia.org/wiki/File:Akihabara_Night.jpg

บ่ายๆเย็นๆก็มาเดินช็อปปิ้งที่ย่านอากิฮาบาระที่ถือเป็นแหล่งเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่ละร้านมีทั้งเล็กใหญ่คละๆกันไปตั้งอยู่สองฝั่งถนนมากกว่า 100 ร้าน รวมทั้งยังมีสินค้าที่เหล่าโอตาคุต้องตาวาวอีกเพียบไม่ว่าจะเป็นสินค้าเกี่ยวกับคาเรกเตอร์การ์ตูนดังๆ โมเดลฟิกเกอร์ ที่มีทั้งรุ่นธรรมดาๆไปจนถึงลิมิเต็ด เอดิชั่น อีกทั้งยังมีคาเฟ่แบบ เมดคาเฟ่ ที่มีสาวญี่ปุ่น แต่งตัวคาวาอี้ๆมาให้ได้ชื่นตาชื่นใจอีกด้วย การเดินทางสามาถไปได้หลายสายทั้ง JR Yamanote Line, JR Keihin-Tohoku Line และ JR Sobu Line ลงที่สถานีรถไฟอากิฮาบาระเดินต่ออีกประมาณ 3 นาที

 

 

 

วันสุดท้าย

ปิดท้ายกันด้วยชมวิวโตเกียวยามเช้าที่แลนด์มาร์กอันดับหนึ่งอย่างโตเกียวทาวเวอร์ โดยสามารถขึ้นไปดูวิวทิวทัศน์ของเมืองมุมสูงได้สวยมากที่สุดของโตเกียวเลยก็ว่าได้  การเดินทางสามารถเดินเท้าจากสถานีรถไฟอากิฮาบาระได้ในเวลา 10 นาที แล้วถ้ายังพอเวลาเหลืออยากช็อปปิ้งของนิดหน่อยก็แนะนำให้ได้ยังย่านชิบุย่า เพราะมีร้านขายของฝากเพียบ มีให้เลือกกันเยอะแยะในย่านนี้ ที่สำคัญอย่าพลาดมาเยือนยังห้าแยกชิบุย่าอันแสนโด่งดัง การเดินทางเพียงออกมาจากสถานีรถไฟชิบูย่าเดินออกมานิดเดียวก็ถึง พร้อมแวะแชะภาพกับรูปปั้นของเจ้าสุนัขฮาจิโกะด้วย

 

เท่านี้ก็เป็นอันครบจน ทริปโตเกียว 4 วัน 3 คืนอย่างเต็มอิ่ม แต่นี่ก็เป็นแค่ตัวอย่าง แพลนเที่ยวโตเกียวแบบง่ายๆ เท่านั้น เพราะจริงๆแล้วในเมืองหลวงของญี่ปุ่น ยังมีอะไรให้เที่ยวชมได้อีกเยอะ แล้วแต่ฤดูกาลที่เราเลือกไป เช่น ไปสวนอูเอโนะ เพื่อชมดอกซากุระ หรือโตเกียวดิสนีย์แลนด์ เป็นต้น

สิ่งสำคัญสำหรับการไปเที่ยวญี่ปุ่นหรือเที่ยวต่างประเทศ นอกจากการวางแผนรับมือสิ่งต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นแล้ว ก็ควรที่จะมีประกันการเดินทางเอาไว้ด้วย แน่นอนว่าเราไม่ต้องการให้เกิดอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยขณะที่เราไปเที่ยว แต่ถ้ามันเกิดขึ้นอย่างน้อยเรารับมือมันได้ แถมค่าประกันต่างประเทศเดี่ยวนี้คือถูกมาก หลักร้อยบาทเท่านั้นเอง ส่วนบริษัทประกันเราแนะนำให้ใช้บริษัทประกันของญี่ปุ่นเลย เพราะจะติดต่อและใช้บริการได้สะดวกกว่า อย่าง บริษัท ซมโปะ ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทประกันยักษ์ใหญ่ระดับโลก สัญชาติญี่ปุ่น

ใครสนใจเดินทางของซมโปะ สามารถใช้ code พิเศษ TLJ15 ลด 15% เมื่อสั่งซื้อออนไลน์ ได้ที่เว็บนี้เลย – >> https://services.sompo.co.th/s/kjgomA


บทความนี้เป็น Advertorial Content เนื้อหา ข้อมูล และรูปภาพทั้งหมดมาจากผู้สนับสนุน เว็บไซต์นี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือรับผิดชอบใดๆ